ทูตไทยประณามกัมพูชารุกราน ละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ ยืนยันตอบโต้ตามกฎหมาย
สำนักงานคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยแพร่คำแถลงของนายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำยูเอ็น ณ นครนิวยอร์ก ในการกล่าวต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ซึ่งจัดการหารือแบบปิด เกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อวันที่ 25 ก.ค. มีใจความโดยสรุปว่า
กัมพูชาได้กระทำการรุกราน ซึ่งคุกคามอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์ของไทย ไทยถือว่ากัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดและเป็นสมาชิกของครอบครัวสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ไทยสนับสนุนกระบวนการสันติภาพ การสร้างชาติ และการพัฒนาของกัมพูชามาโดยตลอด นับตั้งแต่กัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส เมื่อปี 2496 รวมถึงการสนับสนุนข้อตกลงปารีส เมื่อปี 2534 และการที่อาเซียนรับกัมพูชาเข้าเป็นสมาชิก เมื่อปี 2542
เกี่ยวกับการปะทะที่ช่องบก เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 ทหารไทยทำการลาดตระเวนตามปกติในเขตแดนของไทย กองทัพไทยตอบโต้ด้วยมาตรการที่เหมาะสม เพื่อป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ หลังการยิงโดยยั่วยุของทหารกัมพูชา ไทยยังคงเชื่อว่า ช่องทางทวิภาคีเป็นวิธีซึ่งมีประสิทธิภาพที่สุดในการแก้ไขปัญหา
ต่อมาในวันที่ 14 มิ.ย. มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ที่กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา เพื่อหารือเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวร่วมกัน
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 16 ก.ค. และ 23 ก.ค. บุคลากรของกองทัพไทยเหยียบทุ่นระเบิด ระหว่างทำการลาดตระเวนตามปกติในเขตแดนของไทย ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนพิการถาวร และทหารที่เหลือได้รับบาดเจ็บสาหัส มีหลักฐานยืนยันว่า ทุ่นระเบิดนั้นถูกวางใหม่ในพื้นที่ซึ่งเคยมีการเก็บกู้ระเบิดไปแล้ว ไทยทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดตั้งแต่ปี 2562 แต่กัมพูชายังคงมีทุ่นระเบิดประเภทนี้อยู่ ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาเป็นภาคี
ขณะที่เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา กองทัพกัมพูชาใช้ปืนใหญ่เปิดฉากยิงเข้าใส่ฐานทัพไทยในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ที่จังหวัดสุรินทร์ ตามด้วยการที่ทหารกัมพูชาเปิดฉากโจมตีดินแดนของไทยโดยไม่เลือกเป้าหมายใน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ก่อให้เกิดความเสียหายและทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน เช่น โรงพยาบาลและโรงเรียนได้รับความเสียหายอย่างมาก
มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 14 ราย และได้รับบาดเจ็บ 46 คน โดยอย่างน้อย 13 คน อยู่ในภาวะวิกฤติ ประชาชนมากกว่า 130,000 คนต้องอพยพการโจมตีของกัมพูชาละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ฉบับปี 2492 โดยเฉพาะมาตรา 19 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 1 และมาตรา 18 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4
ขณะเดียวกัน การกระทำของกัมพูชาเป็นการละเมิดมาตรา 2 วรรค 4 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ไทยดำเนินการเพื่อป้องกันตนเองภายใต้มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ การตอบสนองของไทย มุ่งเป้าหมายทางทหารที่ชอบด้วยกฎหมายของกัมพูชา โดยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อพลเรือน
ไทยยืนหยัดในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐ และยืนยันการเคารพอย่างเต็มที่ต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติ ไทยปฏิเสธการใช้กำลังเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศอย่างเด็ดขาด และยังคงมุ่งมั่นที่จะยุติข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎบัตรสหประชาชาติ
นอกจากนี้ ไทยขอยืนยัน ว่าไม่มีการปะทะกันระหว่างกองทัพไทยกับกัมพูชา เกิดขึ้นใกล้ปราสาทพระวิหารเลย จุดโจมตีซึ่งใกล้ที่สุดตั้งอยู่รอบภูมะเขือ ซึ่งห่างจากปราสาทพระวิหารประมาณ 2 กิโลเมตร ตัวปราสาทอยู่นอกเส้นทางปฏิบัติการทางทหารของไทยโดยสิ้นเชิง เป็นไปไม่ได้ที่กระสุนหรือสะเก็ดระเบิดจากการปะทะกันที่ภูมะเขือจะไปถึง หรือทำให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อปราสาทพระวิหาร ไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชา งดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน ซึ่งทำให้มรดกทางวัฒนธรรมกลายเป็นประเด็นทางการเมือง
ส่วนประเด็นระเบิดลูกปราย ไทยขอยืนยันว่า ใช้ในการโจมตีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการสู้รบและการรุกรานไทยทันที และหันหน้ากลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาด้วยความบริสุทธิ์ใจ.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES