“ภาษีทรัมป์” ประกาศวันนี้ ไทยลุ้นต่ำสุด 15% – สูงสุด 25% กูรูใครทายแม่น?
นับถอยหลังแค่เพียงไม่กี่อึดใจ ภาษีไทยจะเป็นอย่างไร หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศเอาจริง ไม่เลื่อนเส้นตาย อัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งก่อนหน้านี้ ประเทศที่สามารถยื่นข้อเสนอได้โดนใจและสหรัฐได้ประโยชน์สูงสุด และสามารถปิดดีลได้แล้ว ต่างได้รับการลดภาษีในอัตราที่ต่ำลง
อาทิ เวียดนามได้รับการปรับลดภาษีจาก 46% ลงเหลือ 20%, อินโดนีเซียจาก 32% ลงเหลือ 19%, ฟิลิปปินส์จาก 20% ลงเหลือ 19%, ญี่ปุ่นจาก 25% ลงเหลือ 15%, สหภาพยุโรป (อียู 27 ประเทศ) จาก 30% ลดเหลือ 15%, เกาหลีใต้จาก 25% ลดลงเหลือ 15% โดยประเทศที่ได้ลดภาษีลงมาก ส่วนใหญ่ต้องแลกมาด้วยการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐลงเป็น 0% ทุกรายการ หรือไม่ก็ต้องพ่วงด้วยการซื้อสินค้า รวมถึงต้องเข้าไปลงทุนในสหรัฐเป็นมูลค่ามหาศาล
ส่วนกรณีอินเดีย ที่ล่าสุดโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลดภาษีจาก 26% ลงเหลือ 25% (ลดลงเพียง 1%) โดยผู้นำสหรัฐอ้างเหตุผลว่า อินเดียมีอุปสรรคทางการค้าที่เข้มงวดและน่ารำคาญที่สุดในโลก
ในส่วนของไทย รวมถึงกัมพูชา คู่กรณีข้อพิพาทชายแดนที่เหตุการณ์สู้รบยังไม่สงบ หลังได้บรรลุผลเจรจาและตกลงหยุดยิงตามข้อเสนอของสหรัฐที่ให้มีการเจรจาไปก่อนหน้านี้ โดยที่สหรัฐประกาศจะเดินหน้าเจรจาการค้าหลังเสียงปืนสงบลง ล่าสุด นายโฮเวิร์ด ลัตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐได้ออกมาระบุ (31 ก.ค. 68) ว่า ข้อตกลงการค้ากับไทยและกัมพูชาได้บรรลุเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี ก่อนเส้นตายนี้ ทุกภาคส่วนของไทยต่างลุ้นระทึกว่าอัตราภาษีที่ไทยจะได้รับจะเป็นอัตราเท่าใด เพราะอัตราภาษีดังกล่าวจะมีความสำคัญยิ่งต่ออนาคตความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐที่เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย (ปี 2567 สหรัฐเป็นตลาดส่งออกสัดส่วน 18% ของไทยในภาพรวม) เพราะหากภาษีที่ไทยจะได้รับเสียเปรียบคู่แข่งขัน จะนำมาซึ่งการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนภาษีและราคาสินค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ไทยส่งออกได้ลดลง และผลกระทบจะสะท้อนกลับมายังห่วงโซ่การผลิตทั้งในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรที่เกี่ยวเนื่องในประเทศอย่างรุนแรง
ก่อนหน้านี้ มีกูรูแถวหน้าของผู้บริหารภาครัฐ สถาบันหลักภาคเอกชน ภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ ได้ออกมาคาดการณ์อัตราภาษีที่ไทยจะได้ และจะประกาศในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ มีความคาดหวังจะได้รับการปรับลดลงจากอัตรา 36% ที่สหรัฐประกาศไว้เดิมอย่างแน่นอน เพราะทุกประเทศที่ได้เปิดเจรจากับสหรัฐ ล้วนได้รับการปรับลดภาษีลงก่อนเส้นตายแทบทั้งสิ้น
โดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย ระบุ (31 ก.ค. 68) ว่า ก่อนหน้านี้ทีมไทยแลนด์ได้เดินหน้าเจรจากับสหรัฐอย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงข้อเสนอต่าง ๆ เพื่อให้อัตราภาษีที่สหรัฐเรียกเก็บอยู่ในสัดส่วนใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาคมากที่สุด ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่เกิน 20%
- นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) :
คาดหวังไทยจะได้รับการปรับลดภาษีอยู่ในระดับเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านย่านอาเซียน 19-20% โดยจากที่ไทยได้แสดงความจริงใจ และเจรจาหยุดยิงกับกัมพูชาตามข้อเสนอของสหรัฐ จะถูกนำไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจในครั้งนี้ นอกจากข้อเสนอใหม่ของไทยที่ยื่นไปก่อนหน้านี้
- นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) :
การที่เวียดนามปิดดีลได้ 20% อินโดนีเซียปิดดีลได้ 19% ซึ่งไทยต้องการปิดดีลให้ได้ 18% ต่างกัน 1-2% ไทยถึงจะสามารถแข่งขันได้ ซึ่งคิดว่าเราน่าจะมีโอกาสทำได้ตามเป้าที่วางไว้ ซึ่งคู่แข่งที่สำคัญของไทยมี 4 ประเทศในภูมิภาค ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ หากภาษีไทยไม่เสียเปรียบก็เป็นสิ่งที่เราพอใจแล้ว
- นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง :
อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐ (Reciprocal Tariffs) ที่ประเทศไทยจะถูกเรียกเก็บ คาดจะอยู่ในช่วงไม่สูงถึง 36% และไม่ต่ำกว่า 15% โดยคาดว่าไทยจะได้รับเงื่อนไขใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ที่ตกลงกันสำเร็จแล้ว
- รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน :
มองว่าอัตราภาษีที่ไทยจะได้รับที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดจะอยู่ในช่วง 20-25% เพราะข้อเสนอของไทยไม่ได้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐลงเป็น 0% ทุกรายการเหมือนหลายประเทศ ขณะที่ข้อเสนอในการซื้อสินค้าจากสหรัฐ เฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าเกษตรหลักของสหรัฐ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวสาลี เนื้อหมู เนื้อวัว ผลิตภัณฑ์นม ก๊าซ LNG และสินค้าอื่น ๆ ก็ไม่ทราบว่าในรายละเอียดไทยได้ระบุอย่างชัดเจนหรือไม่ว่าจะนำเข้ามูลค่าเท่าใดภายในกี่ปี และจะไปลงทุนด้านใดบ้างในสหรัฐ มูลค่าเท่าใด ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อการตัดสินใจของสหรัฐในครั้งนี้
- นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) :
หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% เชื่อว่าเอกชนสามารถยอมรับได้ แม้จะสูงกว่าประเทศอื่น ๆ 5% แต่ก็สามารถปรับตัวได้ และแม้ว่าจะมีผลกระทบบางส่วนต่อภาคเกษตร แต่ก็สามารถนำรายได้จากภาคส่งออกมาช่วยเยียวยาภาคเกษตรที่ได้รับผล
ทั้งหมดนี้คือการคาดการณ์อัตราภาษีของไทยที่จะได้รับจากสหรัฐ ซึ่งใครจะแม่นกว่ากัน อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะได้รู้กัน