ลุ้นหยุดยิงจริง คืนความสงบประชาชน หวังค้าไทย-กัมพูชา 500 ล้านต่อวันสู่ปกติ
ท่ามกลางสักขีพยาน ได้แก่ ผู้นำมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน รวมถึงผู้แทนจากสหรัฐอเมริกา และจีนที่เข้าร่วมสังเกตการณ์
แต่ถึงวันนี้เสียงปืนยังไม่สงบโดยสิ้นเชิง จากการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของทางฝั่งกัมพูชา ซึ่งไทยได้ดำเนินการตอบโต้ตามความเหมาะสมก่อนหน้านี้
อีกฟากฝั่งหนึ่ง นอกจากประชาชนตามแนวชายแดนที่ได้รับผลกระทบและตั้งตารอวันจะได้กลับภูมิลำเนาแล้ว ภาคธุรกิจเอกชนของทั้งสองประเทศต่างก็เฝ้าจับตา และลุ้นว่าเหตุการณ์จะกลับคืนสู่ภาวะปกติเมื่อใด เพื่อให้สามารถกลับมาทำการค้าขาย ขยายการลงทุน และดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกันได้อีกครั้ง
“นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข” ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หลังทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงหยุดยิง รู้สึกโล่งใจและดีขึ้นในระดับหนึ่งที่กองทัพของทั้งสองฝ่ายจะหยุดการปะทะ เพราะการไม่รบกันเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วแต่ก็ยังต้องรอดูผลของการเจรจาในเวทีต่าง ๆ ทั้งในระดับรัฐบาล ผู้นำกองทัพ และเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ ว่าจะได้ข้อสรุปอย่างไร
วันนี้เป็นเพียงการหยุดยิงเท่านั้น ยังต้องมีการเจรจารายละเอียดระดับทวิภาคีในหลายวง ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีเงื่อนไข การเจรจาจะลงเอยอย่างไร จะเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่ายหรือไม่ หรือจะมีการปรับเข้าหากันมากน้อยแค่ไหน และจะนำไปสู่การปะทะอีกหรือไม่ แต่โดยหลักการแล้ว ต้องหยุดยิง ทุกประเด็นยังต้องติดตามต่อไป
ลุ้นการค้าขยับหลังถกเรื่องมั่นคง
“ที่ผ่านมาผู้นำกัมพูชาเรียกร้องให้เราเปิดด่าน ซึ่งคงเป็นเรื่องที่ต้องเจรจาตกลงกันหลังสถานการณ์สงบ อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายคงต้องตกลงกันในเรื่องความมั่นคงและการทหารก่อน หากยังตกลงกันไม่ได้ เรื่องอื่น ๆ ก็คงจะเดินหน้าลำบาก”
เมื่อถามถึงผลกระทบทางการค้าชายแดน ที่มีการปิดด่านก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าอาจส่งผลกระทบประมาณ 500 ล้านบาทต่อวัน นายวรทัศน์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด ขึ้นอยู่กับการเจรจา แต่สุดท้ายเชื่อว่าทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติ แม้อาจไม่เหมือนเดิม ทั้งนี้ การเปิดด่านสามารถทำไปพร้อม ๆ กับการเจรจาปักปันเขตแดนให้มีความชัดเจนมากขึ้นได้เช่นกัน
ธุรกิจไทยในกัมพูชาโล่งอก
แม้การหยุดยิงในครั้งนี้จะเป็นเพียงสัญลักษณ์ แต่ก็ช่วยลดการสูญเสียต่อชีวิต ทรัพย์สิน และกำลังพล ทำให้ภาคธุรกิจของทั้งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชานับร้อยราย เริ่มรู้สึกสบายใจมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าเหตุการณ์อาจลุกลามไปสู่ความไม่สงบภายในประเทศ และอาจเกิดการทำลายทรัพย์สินของภาคธุรกิจไทยในกัมพูชา เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
จับตาแรงงานกัมพูชาไหลกลับไทย
ในส่วนของแรงงาน ข้อมูลจากสำนักข่าวกัมพูชาระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 2568 ที่เริ่มเกิดการปะทะ แรงงานกัมพูชากว่า 280,000 คนได้เดินทางกลับประเทศ (ยังไม่นับรวมที่เดินทางกลับก่อนหน้านั้นอีกนับแสนคน) นายวรทัศน์ กล่าวว่า “ที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยกัน ไทยเองก็ยังต้องพึ่งแรงงานกัมพูชาส่วนหนึ่ง ส่วนแรงงานกัมพูชาก็ต้องการมีรายได้ เรื่องนี้หากตกลงกันได้ในประเด็นความมั่นคง ก็เชื่อว่าแรงงานจะกลับมาได้เร็วกว่า เพราะต้องการมีรายได้เลี้ยงครอบครัว”
อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร หรือภาคอื่น ๆ ของไทยอาจไม่สามารถรองรับแรงงานกัมพูชาได้ทั้งหมด เนื่องจากในช่วงรอยต่อได้มีการทดแทนด้วยแรงงานจากประเทศอื่น ๆ ไปแล้ว ขณะที่ภาคธุรกิจบางรายก็ไม่รับแรงงานเพิ่มเพราะสภาพเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดีนัก
ทั้งนี้ในด้านการค้าสินค้า คาดว่าจะกลับมาเป็นปกติช้ากว่าภาคแรงงาน เพราะระหว่างความขัดแย้งที่ผ่านมา สินค้าหลายชนิดที่กัมพูชาเคยนำเข้าจากไทย ได้เปลี่ยนไปใช้สินค้าจากประเทศอื่นแทน การที่สินค้าไทยจะกลับมายึดตลาดคืน จึงต้องใช้เวลา