“N.R.Narong Group” รุกตลาดยาครบวงจร จัดทัพธุรกิจสยายปีกไทย-ต่างประเทศ
จากข้อมูลวิจัยกรุงศรี ระบุว่าอุตสาหกรรมยามีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องคาดว่าในปี 2568-2570 มูลค่าจำหน่ายยาในประเทศจะขยายตัวเฉลี่ย 6 - 7% ต่อปี โดยมีปัจจัยหนุนจาก จำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งจากโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) การเกิดโรคติดต่ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และการเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (โดยเฉพาะสิทธิบัตรทอง)
ทำให้ผู้เจ็บป่วยสามารถเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ได้สะดวกขึ้น แต่ความท้าทายของอุตสาหกรรมมาจากการที่ผู้ผลิตยาของไทยขาดศักยภาพในการผลิตยาที่ซับซ้อนหรือยาที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีระดับสูง
นางสาวกนกนุช โชติปทุมวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เอ็น อาร์ ณรงค์ กรุ๊ป จำกัด หรือ N.R.Narong Group บริษัทผู้ผลิตอุตสาหกรรมยาแบบครบวงจร เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กลุ่มบริษัท เอ็น อาร์ ณรงค์ กรุ๊ป มีเป้าหมายในการสร้างความชัดเจนสำหรับการเป็น Holding Company พยายามจัดโครงสร้างบริษัทให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในฐานะ Family Business พัฒนาเทคโนโลยีและเพิ่มประสิทธิภาพบริษัทในเครือด้วยการเน้นการใช้หุ่นยนต์ในการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์มากขึ้น และการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักรเพื่อลดต้นทุนรวมถึงข้อบกพร่องต่างๆ
โดยยังคงลดการพึ่งพาการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังได้นำเทคโนโลยี Smart IoT มาใช้ในการมอนิเตอร์กระบวนการผลิต เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มของอุปกรณ์ ทำ R&D ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะในกลุ่มงานยาที่ต้องพัฒนาร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดและใช้เวลานาน รวมทั้งเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น
ด้านกลยุทธ์การทำธุรกิจ บริษัทมุ่งเน้นการบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม (after-sale service) ความสามารถในการพัฒนาสินค้าร่วมกับลูกค้า (develop product with customer)โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับงานยาที่ต้องใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนาถึง 6-12 เดือน และเน้นคุณภาพ-ความรวดเร็วในการจัดส่ง (delivery time)
เพื่ออัตราการเติบโตในภาพรวมเฉลี่ยประมาณ 4-5% ต่อปี รวมทั้งบริษัทยังเข้าร่วมโครงการกับภาครัฐเพื่อสนับสนุนด้านพลังงานและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเริ่มสำรวจการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น Hospitality (โรงแรม/รีสอร์ท) ที่มองว่าเป็นความท้าทายใหม่
นางสาวกนกนุช กล่าวว่า หากย้อนกลับไปก่อนจะมาเป็นกลุ่มบริษัท เอ็น อาร์ ณรงค์ กรุ๊ป “ณรงค์การช่าง” เป็นธุรกิจครอบครัวถือว่าก่อตั้งโดยคุณพ่อ (ณรงค์ สกุลศิริรัตน์) เมื่อ 50 ปีที่แล้ว อาจนับได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมเครื่องจักรผลิตยา ที่เป็นคนไทยเพื่อคนไทย มีเป้าหมายหลักในการลดการนำเข้าเครื่องจักรผลิตยาจากต่างประเทศ กระทั่งแตกไลน์ธุรกิจเพิ่มอย่างต่อเนื่องหลายบริษัทและเริ่มส่งต่อให้ลูก 3 คน ซึ่งเป็นทายาทรุ่น 2
“การเข้ามาสืบทอดธุรกิจของครอบครัวต่อจากคุณพ่อ คือความภาคภูมิใจ เพราะเติบโตมากับการเห็นคุณพ่อทำงานและยึดคุณพ่อเป็นไอดอล ทำทุกอย่างตั้งแต่ดูแลงานบริหาร งานขายและการตลาด โดยมีน้องสาวและน้องชายช่วยในด้านเทคนิค ซึ่งการเข้ามารับช่วงต่อเป็นรุ่น 2 มีความท้าทายและเป็นเรื่องยาก ต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่องกว่าจะปรับตัวจนชิน”
สำหรับกลุ่มบริษัท เอ็น อาร์ ณรงค์ กรุ๊ป ชื่อเดิมคือบริษัท เอ็น อาร์ณรงค์การช่าง จำกัด เป็นหนึ่งในบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2520 เริ่มต้นจากการพัฒนาเครื่องจักรผลิตยาและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตยาแบบครบวงจร ตั้งแต่การผสมยาแบบแห้งและเปียก สู่การอัดเม็ดยา ไปจนถึงการบรรจุแผงยา โดยได้ผลิตอุปกรณ์เฉพาะด้านตอกยาเพิ่มเติม
ต่อเนื่องมาจนถึงแม่พิมพ์บรรจุภัณฑ์ แตกไลน์ธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับโรงงานยา รุกตลาดอุตสาหกรรมยาในประเทศไทย ด้วยการเน้นขวด PET (Polyethylene Terephthalate) ขวดพลาสติกที่ทำจากเม็ดพลาสติกสามารถรีไซเคิลได้ ตลอดจนเครื่องสำอาง รวมถึงธุรกิจบริการรับจ้างการผลิตอาหาร และการพัฒนาโซลูชั่น ตลอดจนชิ้นส่วนอะไหล่ ในอุตสาหรรมพื้นฐานด้านอาหาร ยา
ขณะที่ตลาดบรรจุภัณฑ์ยา เอ็น.อาร์ฯ ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำของตลาดประเทศไทย ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าโรงงานยาในฐานะผู้ผลิตเครื่องจักรยามาก่อน มีลูกค้าหลักทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เมียนมา, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฮ่องกง แต่ยังยืนหยัดสู้คู่แข่งได้แม้ตลาดบรรจุภัณฑ์จะแข่งขันสูงมาก”
ปัจจุบันขยายไปสู่บรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องดื่ม (Beverage), อาหาร (Food), และเครื่องสำอาง (Cosmetic) รวมถึง Flexible Packaging เช่น ฟิล์มหด, ฉลากหุ้มขวด และ Blister Packaging สำหรับแผงยา กลายมาเป็นธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่สร้างรายได้มากที่สุดของบริษัท
นางสาวกนกนุช กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้รวมทั้งกรุ๊ปประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบรรจุภัณฑ์ประมาณ 60% กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประมาณ 10-15% และสุดท้ายคือกลุ่มเครื่องจักรผลิตยา ที่ส่งออกไปยังยุโรปและประเทศในเอเชีย
“ในฐานะทายาทรุ่น 2 ได้รับอิทธิพลจากคุณพ่อมาพอสมควร คุณพ่อเป็นผู้บุกเบิกและเป็นนักคิด ชอบคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจะช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ทำให้บริษัทสามารถปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจได้ โดยธุรกิจหลายอย่างที่ทำไม่ได้มุ่งเน้นผลกำไรสูง แต่ทำด้วยความตั้งใจที่จะช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ”