ยิ่งเครียดยิ่งผมร่วง! ปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงาน
GM Live
อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เว็บไซต์ว่าด้วยเรื่องราวของผู้ชาย เทรนด์ บทสัมภาษณ์ บทวิเคราะห์ธุรกิจ รถยนต์ Gadget สุขภาพ อัพเดทก่อนใครหาสาเหตุก่อนผมบางถาวร
ผมร่วงเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่พบเจอกันบ่อย แม้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่ก็เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทั้งยังส่งผลต่อชีวิตพอสมควรโดยเฉพาะเรื่องความสวยความงาม และเคยสังเกตุกันหรือเปล่าว่า ยิ่งเครียดยิ่งผมร่วง! ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงาน GM Live เลยถือโอกาสนี้มาชวนหาสาเหตุก่อนผมบางถาวร กับแพทย์หญิงกรผกา ขันติโกสุม แพทย์ผู้ชำนาญการด้านผิวหนัง ศูนย์ผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลวิมุต ถึงสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงมากผิดปกติและเทคนิคดูแลสุขภาพเส้นผมให้แข็งแรงขึ้น
เชื่อว่าหลายคนคงเคยรู้สึกว่าทำไมผมร่วงเยอะมาก แม้เพียงแค่หวีเบา ๆ หรือสระผมก็หลุดติดมือมาเป็นกำ โดยปัญหานี้มักพบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องแบกรับทั้งภาระหน้าที่และความเครียดสะสมในแต่ละวัน
นั้นเพราะจริง ๆ แล้ว ความเครียดเป็นหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เส้นผมหลุดร่วงเร็วกว่าปกติและนำไปสู่ “ภาวะผมร่วง” ที่จะมีอาการผมร่วงอย่างต่อเนื่อง และหากปล่อยไว้นานเกินไป รากผมอาจเสียหายถาวรและไม่สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้ ส่งผลให้ผมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดจนเป็น “ภาวะผมบาง”
ปัญหาใหญ่วัยทำงาน ยิ่งเครียด ผมยิ่งร่วง
ในเมื่อทราบแล้วว่าหนึ่งในสาเหตุของปัญหาผมร่วงที่พบได้บ่อยและหลายคนอาจมองข้าม คือ ความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนวัยทำงานอายุระหว่าง 25-45 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ชีวิตเต็มไปด้วยแรงกดดันจากงานและหน้าที่รับผิดชอบ ส่งผลให้เกิดภาวะเครียดสะสม ซึ่งในบางคนที่มีภาวะเครียดเรื้อรังหรือมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย อาจมีพฤติกรรมดึงผมตัวเองแบบไม่รู้ตัว หรือที่เราเรียกว่าโรคดึงผมตัวเอง (Trichotillomania) ซึ่งนั้นอาจทำให้ผมบางเร็วขึ้น
แนะนอกจากความเครียดยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ผมร่วงได้ เช่น ภาวะผมบางจากพันธุกรรม (Androgenetic Alopecia) เกิดจากความไวของรากผมต่อฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ผู้หญิงหลังคลอดบุตร วัยหมดประจำเดือน หรือการใช้ยาคุมกำเนิดและยารักษาสิว
ส่วนอาหารการกินมีส่วน เช่น ถ้ามีการอดอาหาร ซึ่งนำไปสู่การขาดสารอาหารไม่ว่าจะเป็นธาตุเหล็ก วิตามิน D วิตามิน B12 หรือโปรตีน ก็อาจทำให้ผมอ่อนแอและหลุดร่วงได้ง่าย
ในขณะที่บางคนอาจมีพฤติกรรมทำร้ายเส้นผม เช่น เข้านอนในขณะหัวชื้น หวีผมขณะผมเปียก มัดผมตึงเกินไป ใช้สารเคมี ไดร์หรือหนีบผมด้วยความร้อนสูงเป็นประจำ รวมทั้งยังมีโรคบางชนิดที่ทำให้ผมร่วงอย่างโรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata) และผื่นเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) หรือเรียกอีกชื่อว่า 'โรคต่อม ไขมันอักเสบ' ซึ่งเป็นโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับการอักเสบเรื้อรัง รวมทั้งผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางประเภท อาทิ ยาเคมีบำบัดหรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่นเดียวกับมลพิษทางอากาศ การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และการพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเส้นผมเช่นกัน
เช็กด่วน! ผมร่วงแบบนี้พบแพทย์ทันที
เคยสงสัยกันหรือเปล่าว่าผมร่วงมากแค่ไหนถึงจะต้องไปหาหมอ เพราะโดยปกติตามที่เข้าใจกันเส้นผมก็ร่วงทุกวันอยู่แล้ว ซึ่งโดยทั่วไปจะร่วงประมาณ 100 เส้นต่อวัน หรือมากถึง 200 เส้นในเวลาที่สระผม
แต่!! ถ้ามีอาการผมร่วงอย่างชัดเจน เช่น ผมติดหวีหรือหมอนเป็นจำนวนมาก หรือหล่นบนพื้นห้องน้ำมากผิดปกติ นั้นถือเป็นสัญญาณแรกที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด และเบื้องต้นสามารถเช็กความเสี่ยงได้ด้วยการใช้นิ้วมือสางผมเบา ๆ หากมีผมหลุดมากกว่า 2 เส้นหลายครั้ง ก็ควรเข้าไปรับคำปรึกษาจากแพทย์แต่เนิ่น ๆได้เลย
ส่วนในกรณีที่มีอาการรุนแรง เช่น ผมร่วงเป็นหย่อม คลำเจอจุดหัวล้าน มีอาการคัน แสบ หนังศีรษะแดง มีสะเก็ดหรือหนองร่วมด้วย และผมร่วงรวดเร็วภายใน 2–4 สัปดาห์ รวมทั้งบริเวณหัวล้านขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด หรือประจำเดือนขาด ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาทันที
แนวทางการรักษาผมร่วง-ผมบาง
ในปัจจุบัน การรักษาปัญหาผมร่วงและผมบางได้รับการพัฒนาอย่างมาก มีทั้งการรักษาด้วยยาและเทคโนโลยีใหม่ที่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ เบื้องต้นแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยา เช่น Minoxidil ซึ่งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณรากผม ใช้ได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ส่วนอีกตัวคือ Finasteride ซึ่งเป็นยาลดระดับฮอร์โมน DHT ที่นิยมใช้ในผู้ชายเพื่อป้องกันผมร่วงจากพันธุกรรม หรืออาจรักษาด้วยวิธีการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) และการฉายแสงสีแดง (Low-level laser therapy) เพื่อกระตุ้นให้รากผมกลับมาแข็งแรงขึ้น
การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมก็มีส่วนช่วยบ้าง แต่ต้องเลือกที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและสารประกอบสำคัญ เช่น แชมพูที่มี Ketoconazole ช่วยลดอาการอักเสบและต้าน DHT หรือผลิตภัณฑ์ที่มีปาล์มเลื่อย (Saw Palmetto), ไบโอติน, วิตามิน B และวิตามิน E ซึ่งช่วยบำรุงผมให้แข็งแรง แต่อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็เพียงช่วยดูแลผมที่ยังมีอยู่เท่านั้น หากมีปัญหาผมร่วงรุนแรงหรือผมบางก็ควรไปปรึกษาและรักษากับแพทย์อย่างจริงจัง
เทคโนโลยีปลูกผมที่ช่วยรักษาผมถาวร
ในกรณีเส้นผมบางลงจนเห็นได้ชัดและรากผมเสียหายถาวร แพทย์อาจแนะนำให้ปลูกผม โดยเทคโนโลยีที่นิยมในปัจจุบันคือ FUE (Follicular Unit Extraction) ซึ่งใช้เครื่องมือขนาดเล็กย้ายรากผมจากท้ายทอยไปยังจุดที่มีปัญหา วิธีนี้แผลเล็ก ฟื้นตัวไว และดูเป็นธรรมชาติ ในขณะที่ FUT (Follicular Unit Transplantation) แม้ได้รากผมจำนวนมากในครั้งเดียว แต่มีแผลใหญ่และพักฟื้นนานกว่า และปัจจุบันยังมีงานวิจัยด้านสเต็มเซลล์และ 3D Hair Bioprinting ที่หากสำเร็จอาจช่วยสร้างรากผมใหม่ขึ้นมาได้
ดังนั้นภาวะผมร่วง ผมบาง สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ แต่ต้องเข้าใจอาการที่เกิดขึ้น และปรับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง พักผ่อนให้พอ ออกกำลังกาย เน้นรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงเส้นผม เช่น กล้วย ฝรั่ง ไข่แดง และอะโวคาโด รวมถึงผ่อนคลายลดความเครียดให้มาก ๆ และหากเริ่มมีอาการผมร่วงผิดปกติ ก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
ที่มา : ศูนย์ผิวหนังและความงาม ชั้น 9 โรงพยาบาลวิมุต โทร. 02-079-0074