รับ‘สหรัฐ’กังวล สินค้าสวมสิทธิ์ สั่งศุลกากรเข้ม
"หมอมิ้ง" เตรียมชงข้อตกลงภาษีทรัมป์เข้าสภาเห็นชอบ "จุลพันธ์" รับสหรัฐฯ กังวลปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์หนักมาก ยันเร่งพิจารณาแก้ปัญหาอย่างเข้มข้น สั่ง "ศุลกากร" เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าขาเข้าไทย ไม่หวั่นเสียงปริ่มน้ำ
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงขั้นตอนของรัฐบาลภายหลังมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ เพื่อรับมือมาตรการภาษีสหรัฐอเมริกาว่า วันนี้บ้านเมืองเราได้ผ่านวิกฤตเบื้องต้นคือ 1.การรบที่ชายแดน เพราะมีการหยุดยิงและมีความสงบกลับคืนมา ซึ่งเชื่อว่าการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (GBC) จะเป็นการเริ่มต้นเพื่อพูดคุยแก้ปัญหา 2.วิกฤตการเจรจาภาษีทรัมป์ ซึ่งเป็นวิกฤตของหลายประเทศทั่วโลก สำหรับประเทศไทยเราได้ข้อยุติที่สำคัญ ที่เป็นประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจ
"ยืนยันว่าหน้าที่ของรัฐบาลยังไม่จบ เพราะเมื่อผ่านพ้นวิกฤตและเมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนก็สามารถดำเนินการ ไทยก็สามารถดำเนินการค้าและเปิดตลาดได้มากขึ้น สามารถส่งออกเทียบเคียงได้กับคู่แข่ง ไม่มีอะไรเสียเปรียบ และได้เปรียบกว่าบางประเทศเสียอีก อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องเข้าไปดูแลแก้ไขโครงสร้าง นาทีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่จะพาประเทศมองไปข้างหน้า และประชาชนทั้งประเทศต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง วันนี้ศัตรูของเราไม่ใช่คนในประเทศ แต่ต้องรวมใจกันฟันฝ่าและมองถึงอนาคต เมื่อผ่าน 2 วิกฤตนี้ที่ถือว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ก็จะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า"
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการประสานไปยังสภาเพื่อให้มีการพิจารณาข้อตกลงภาษีสหรัฐฯ หรือไม่ นพ.พรหมินทร์ชี้แจงว่า ได้มีการชี้แจงเบื้องต้นแล้วว่าเป็นมติ ครม. เป็นกรอบในการเจรจา ซึ่งจะดำเนินการต่อไปแน่นอน และเมื่อผ่านความเห็นของสภาก็จะเป็นการดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เปิดเผยว่า ภายหลังสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าไทยลดลงเหลือ 19% จากเดิมที่ 36% นั้น หลังจากนี้สิ่งที่ต้องมาเร่งพิจารณาคือ เรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ผ่านทาง (transshipment) ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ แสดงความกังวลค่อนข้างมาก โดยในส่วนของไทยหลังจากนี้ มองว่าจะต้องมีกระบวนการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งได้มอบหมายให้กรมศุลกากรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าที่ไม่ได้มีแหล่งกำเนิดในไทยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสินค้าขาเข้าเพื่อมาทำการผลิตในประเทศไทย ว่าเข้ามาแบบไหน
นายจุลพันธ์กล่าวอีกว่า ยอมรับว่าข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลต่อตัวรายได้ของกรมศุลกากร โดยยังไม่ได้ประเมินว่ารายได้จะหายไปเท่าไหร่ แต่ไม่อยากให้มองหรือให้ความสำคัญแค่เรื่องรายได้ที่จะปรับลดลงเพียงอย่างเดียว โดยอยากชี้ให้เห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวนั้นช่วยทำให้การค้าขายกับสหรัฐฯ มีมูลค่ามากขึ้น ตรงนี้จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยทำให้สามารถจัดเก็บภาษีอื่นๆ ได้มากขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้นในมิติต่างๆ ด้วย
สำหรับกระบวนการหลังจากนี้ยังมีรายละเอียดที่ต้องไปเร่งดำเนินการกันต่อ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะต้องมีการส่งเรื่องให้ที่ประชุม ครม.รับทราบก่อน คาดว่าไม่น่าจะทันภายในวันที่ 5 ส.ค.นี้ หลังจากนั้นจะต้องมีการรายงานต่อที่ประชุมสภาเพื่อสรุปในภาพรวมทั้งหมด
“ต้องมีการรายงานให้ที่ประชุมสภารับทราบภาพรวมทั้งหมด ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้กังวล แม้จะมีการจับตาว่าขณะนี้มีเสียงปริ่มน้ำ แต่การรายงานสภานั้นถือเป็นการดำเนินงานตามปกติ และมองว่าเป็นเรื่องที่สภาต้องได้รับทราบ และได้รับความเห็นชอบด้วยก็ยิ่งดี ตรงนี้เป็นไปตามข้อกฎหมาย เพราะบางเรื่องที่เกิดจากการเจรจาก็เข้ามาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ 2560 เพราะเป็นเรื่องการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ” รมช.การคลังระบุ
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีสหรัฐอเมริกา ภายหลังได้ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ที่จะจัดเก็บสินค้านำเข้าจากไทย 19% มีผลวันที่ 7 ส.ค. 68 เป็นต้นไป ว่าการที่สหรัฐฯ เห็นชอบภาษีนำเข้า 19% ถือเป็นข่าวดี และเป็นสเตปแรกที่จะช่วยให้ไทยยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้าไว้ได้ แต่การเจรจายังไม่สิ้นสุด ไทยยังต้องผลักดันอีกหลายประเด็นสำคัญ เช่น กฎถิ่นกำเนิดสินค้า กฎเกณฑ์การสะสมถิ่นกำเนิดสินค้า (RVC) เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์สูงสุด และปรับตัวได้โดยไม่เกิดผลกระทบที่รุนแรง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการปรับตัว รวมทั้งเดินหน้าหาตลาดใหม่เพื่อสร้างโอกาสการส่งออก โดยไม่ละทิ้งตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ
ส่วนความคืบหน้าหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ได้เห็นชอบรายละเอียดผลการเจรจาและร่างแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ ไปแล้วนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ และลงนามร่วมกัน เพื่อประกาศอย่างเป็นทางการว่าทั้ง 2 ประเทศเห็นชอบในหลักการที่จะทำงานร่วมกันต่อไปในเรื่องภาษีตอบโต้ แต่ต้องรอให้สหรัฐฯ นัดเวลาเจรจารายละเอียดของประเด็นต่างๆ และนำไปสู่การจัดทำเป็นความตกลงระหว่างกัน
“ยืนยันว่าข้อตกลงระหว่างไทย-สหรัฐฯ เป็นเพียงความเห็นชอบในหลักการร่วมกัน ยังไม่ได้ข้อสรุปสุดท้าย และยังไม่มีอะไรที่เป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย เพราะยังต้องมีการเจรจาในรายละเอียดอีกมาก และก่อนที่ไทยจะลงนามความตกลงดังกล่าว จะนำรายละเอียดต่างๆ ที่เจรจามาหารือและรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ไม่แอบทำอะไรลับหลังหรืออุ๊บอิ๊บทำแน่นอน จากนั้นจะขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐสภาตามขั้นตอนของกฎหมายไทยต่อไป” นายฉันทวิชญ์กล่าว
นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร ยอมรับว่า ประเด็นเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์เป็นเรื่องที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ดังนั้นในส่วนของกรมศุลกากร ก็อาจจะต้องมีการวางกรอบระยะเวลาให้ชัดเจนว่าจะดำเนินการอะไรบ้าง ภายใต้กรอบเวลาเท่าไหร่ แต่เบื้องต้นหลังจากนี้ เข้าใจว่า อาจจะต้องมีการหารือเพิ่มเติมในรายละเอียดก่อนมีการลงนามในสัญญาทางการค้าต่างๆ เพื่อจะได้กำหนดรายละเอียด ขั้นตอน และกรอบระยะเวลาการดำเนินการอย่างชัดเจนว่ามีอะไรบ้าง
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ผ่านแดนยังต้องรอดูกติกาที่ชัดเจนจากสหรัฐฯ อีกครั้ง ว่ากำหนดว่าสินค้าสวมสิทธิ์คืออะไร เช่น ผ่านเข้ามาอย่างเดียวแล้วออกไปเลย หรือเปลี่ยนจาก made in A เป็น made in B แบบนี้เรียกว่าสวมสิทธิ์แน่นอน หรือสินค้าที่เข้ามาในไทยแล้วมีการผลิตเพิ่มเติมเข้าไปอีก 10-20% แบบนี้จะถือว่าเป็นสินค้าสวมสิทธิ์ด้วยหรือไม่ เหล่านี้ยังเป็นกติกาที่ต้องคุยให้ชัดเจน ซึ่งคิดว่าขณะนี้ทุกประเทศก็ยังไม่ชัดเจนว่าตรงไหนที่ถือว่าเป็น local content และจะคิดอย่างไร ตอนนี้รู้ชัดเจนแค่ว่าสหรัฐฯ ไม่เอาสินค้าสวมสิทธิ์แน่นอน
“ประเด็นเรื่องเกณฑ์การคำนวณมูลค่าในประเทศ (Regional Value Content: RVC) ซึ่งปัจจุบันคิดอยู่ 50-60% นั้น ไม่ได้ทำให้ไทยทำงานยากขึ้น โดยการแก้ปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์ผ่านแดนเป็นเรื่องยุติธรรมสำหรับสหรัฐฯ ที่จะต้องมีการระบุให้ชัดเจนว่าสินค้านี้ผลิตที่ไหน ไม่ใช่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป และที่ผ่านมาประเทศไทยก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้วกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นหากจะมาเข้มงวดเรื่องนี้มากขึ้นก็เป็นเรื่องที่ดี” ปลัดกระทรวงการคลังระบุ.