กรมควบคุมโรค เตือนระวัง! 8 โรค ฤดูฝนระบาด จับตาไข้หวัดนก กัมพูชา
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2568 พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค และ นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ดำเนินการแถลงข่าวในหัวข้อ “ฤดูฝนนี้ ปลอดโรคปลอดภัย ใส่ใจสุขภาพ” พร้อมแนะวิธีดูแลสุขภาพช่วงฤดูฝน
โควิด 19 ปี 2568 มีผู้ป่วย 545,560 ราย ผู้เสียชีวิต 206 ราย ส่วนใหญ่อายุ 60 ปี ขึ้นไป จากจำนวนผู้เสียชีวิต 72 ราย พบว่าเป็นกลุ่ม 608 ร้อยละ 93 โดยอีกร้อยละ 7 (5 ราย) มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคพิษสุราเรื้อรัง ใช้สารเสพติด ผู้ป่วยติดเตียง โรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง อย่างละ 1 ราย และ เป็นทารกแรกคลอดอายุต่ำกว่า 1 เดือน 1 ราย นอกจากนี้ยังพบการระบาดแบบกลุ่มก้อน จำนวน 40 เหตุการณ์ ส่วนใหญ่พบที่สถานศึกษา
ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบการระบาดของ สายพันธุ์ NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์หลัก ในขณะที่สายพันธุ์ XEC และ JN.1 มีสัดส่วนลดลง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 องค์การอนามัยโลกประกาศให้ NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง โดยพบการกลายพันธุ์ในตำแหน่งโปรตีนหนามหลายจุดที่เพิ่มเติมจากสายพันธุ์ JN.1 รวม 7 ตำแหน่ง แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้เกิดโรครุนแรงมากขึ้น
โรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 26 มิถุนายน 2568 มีผู้ป่วยสะสม 382,471 ราย ผู้เสียชีวิต 51 ราย ซึ่งในผู้เสียชีวิต 51 ราย พบว่ามีโรคประจำตัว 31 ราย เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง วัณโรคปอด และภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เป็นต้น กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 5 - 9 ปี, 0 - 4 ปี และ 10 - 14 ปี ตามลำดับ มีผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล (IPD) 52,394 ราย โดยสายพันธุ์ที่ตรวจพบมากที่สุด คือ A/H1N1 (pmd09) นอกจากนี้ ยังมีการพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนของโรคไข้หวัดใหญ่ 48 เหตุการณ์ ส่วนใหญ่พบในโรงเรียน ทั้งนี้ มีแนวโน้มผู้ป่วยลดลงแต่ยังสูงกว่าปี 2567
คำแนะนำสำหรับโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบทางเดินหายใจ สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าไปในที่ที่มีคนรวมตัวกันจำนวนมาก ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ หากป่วยติดเชื้อระบทางเดินหายใจ ควรหยุดพักรักษาตัวจนกว่าจะหายเป็นปกติ แนะนำ 7 กลุ่มเสี่ยง เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นประจำทุกปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่สถานพยาบาลของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนที่ร่วมโครงการ ในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568
โรคไข้เลือดออก ปี 2568 มีผู้ป่วย 19,491 ราย ผู้เสียชีวิต 21 ราย พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกต่ำกว่าปีที่ผ่านมา 1.8 เท่า แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ และภาคใต้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยเรียน แต่อัตราป่วยตายสูงในกลุ่มอายุ 45 ปี ขึ้นไป
แนะประชาชน ทายากันยุง ใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด หากค้างคืนในป่า เขา ไร่ นา ต้องนอนในมุ้ง หรือหามุ้งคลุมเปล หากมีไข้สูง 1 - 2 วัน รับประทานยาลดไข้ เช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลดปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หรือมีผื่นจุดแดงขึ้นตามตัว ควรรีบไปพบแพทย์ และห้ามรับประทานยาลดไข้ชนิดอื่นนอกจากพาราเซตามอล
เอชไอวี ปี 2568 พบผู้อยู่ร่วมเอชไอวี 547,556 ราย กำลังรับยาต้านไวรัส 454,552 ราย ผู้เสียชีวิต 4,712 ราย วินิจฉัยเอชไอวีรายใหม่ ปี 2568 10,931 ราย พบว่า มีแนวโน้มลดลงจากปี 2560 โดยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 25 - 49 ปี และพบว่า 1 ใน 5 วินิจฉัยเอชไอวีรายใหม่เป็นกลุ่มเยาวชนอายุ 15 - 24 ปี ทั้งนี้ 5 จังหวัด วินิจฉัยเอชไอวีรายใหม่สูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และ 96.4% ของวินิจฉัยเอชไอวีรายใหม่ ติดเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน
โรคซิฟิลิส พบว่าทุกกลุ่มอายุจากปี 2562 จำนวน 8,737 คน เพิ่มขึ้น 2.9 เท่า เป็นจำนวน 25,469 คน ในปี 2567 กลุ่มอายุ 15 - 24 ปี จากปี 2562 จำนวน 3,672 คน เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า เป็นจำนวน 9,359 คน ในปี 2567 ซิฟิลิสแต่กำเนิดจากปี 2562 จำนวน 240 คน เพิ่มขึ้น 5.4 เท่า เป็นจำนวน 1,290 คน ในปี 2567 ส่วนใหญ่เกิดจากแม่ที่อายุน้อยกว่า 25 ปี
เกือบทั้งหมดฝากครรภ์ช้ากว่า 12 สัปดาห์ หรือไม่ฝากครรภ์ โดยในปี 2568 แนวโน้มอัตราป่วยโรคซิฟิลิสอาจเพิ่มสูงขึ้น ซึ่ง 5 จังหวัด ผู้ป่วยโรคซิฟิลิสสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุดรธานี ทั้งนี้ เอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มักไม่มีอาการ หากมีความเสี่ยง แนะนำให้ปรึกษา และรับการตรวจที่คลินิก หรือโรงพยาบาลใกล้บ้านทันที ห้ามซื้อยาทานเอง
แนะประชาชน 1. ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งกับทุกคน ทุกช่องทาง และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง 2. หากมีความเสี่ยง แนะนำให้ตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีควบคู่กับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ 3. เข้าสู่ระบบรักษาทันทีอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพื่อลดโอกาสเกิดความรุนแรง และการถ่ายทอดเชื้อสู่คู่เพศสัมพันธ์
โรคเลปโตสไปโรสิส (ไข้ฉี่หนู) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 26 มิถุนายน 2568 ผู้ป่วยสะสม 1,623 ราย มีผู้เสียชีวิต 20 ราย แนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มอายุที่พบผู้เสียชีวิตมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป พฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ เดินลุยน้ำขัง ย่ำดินแฉะ โดยไม่สวมรองเท้าป้องกัน เก็บอาหารโดยไม่ปิดฝา หรือวางไว้ในตู้ที่ปิดมิดชิด และลงน้ำหาปลา
แนะประชาชน หลีกเลี่ยงการลุยน้ำย่ำโคลนหรือลงแช่น้ำเป็นเวลานาน หากจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ต ถุงมือยาง หลังลุยน้ำย่ำโคลนหรือลงแช่น้ำ ให้ล้างมือ ล้างเท้า หรืออาบน้ำชำระร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที หากมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัวหรือปวดกล้ามเนื้อ หลังเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือลงแช่น้ำ 1 - 2 สัปดาห์ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการเดินลุยน้ำให้แพทย์ทราบ
โรคไข้หวัดนก สถานการณ์โรคไข้หวัดนกในคนทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 - 27 พฤษภาคม 2568 มีผู้ป่วยสะสมจากไข้หวัดนกสายพันธุ์ A(H5N1) จำนวน 976 ราย ผู้เสียชีวิต 470 ราย ทั้งนี้ ประเทศไทยความเสี่ยงยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง สำหรับกัมพูชา ปี 2568 พบผู้ป่วย 9 ราย เสียชีวิต 6 ราย โดยรายล่าสุดได้รับรายงานเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 อาศัยอยู่จังหวัดเสียมราฐ (Siem Reap) พบประวัติสัมผัสไก่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุและนำมาประกอบอาหาร มีอาการไข้ ไอ หายใจลำบาก ขณะนี้รักษาตัวอยู่ในสภาวะวิกฤติ สหรัฐอเมริกา ปี 2567 - 2568 มีผู้ป่วยสะสม 70 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 1 ราย
แนะประชาชน รับประทานอาหารที่ปรุงสุก โดยเฉพาะสัตว์ปีก ไข่ และผลิตภัณฑ์จากโคนม หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีก สุกรหรือโคนม ที่ป่วยหรือตายผิดปกติ ควรสวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ และล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัส เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก สุกร และโคนม หากพบสัตว์ปีกป่วยตายจำนวนมาก ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์
หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ หรือตาแดงอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ สำหรับประชาชนที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดต้องหมั่นติดตามข่าวสารการระบาดของพื้นที่ที่จะเดินทางไปทำประกันสุขภาพสำหรับการเดินทาง กรณีเดินทางกลับจากต่างประเทศหากมีอาการป่วยคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ให้รีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการสัมผัสสัตว์ และประวัติการเดินทาง
โรคหัด วันที่ 1 มกราคม - 23 มิถุนายน 2568 มีรายงานผู้ป่วยไข้ออกผื่นหรือสงสัยหัด หัดเยอรมัน สะสม 1,295 ราย เป็นผู้ป่วยยืนยันหัดหรือมีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา 425 ราย โดยเป็นผู้ป่วยยืนยันโรคหัด 371 ราย ผู้ป่วยมีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา 54 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
ทั้งนี้ มีการพบผู้ป่วยส่วนใหญ่ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา อย่างต่อเนื่อง แต่มีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบรายงานผู้ป่วยนอกจังหวัดชายแดนใต้ แนวโน้มเพิ่มมากขึ้นโดยพบต่อเนื่อง ในจังหวัด ระยอง สระแก้ว ชลบุรี จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และพบประปรายในจังหวัด ตราด สุรินทร์ ราชบุรี ภูเก็ต เพชรบุรี พังงา
เมื่อพบผู้ป่วยที่สงสัยโรคหัด ควรแยกผู้ป่วยไม่ให้คลุกคลีกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ การฉีดวัคซีน วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) เป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุด โดยมีการฉีดตั้งแต่วัยเด็ก ดังนี้ เข็มที่ 1 เมื่ออายุ 9 - 12 เดือน, เข็มที่ 2 เมื่ออายุ 1 ปี 6 เดือน (สำหรับพื้นที่ที่ไม่มีการระบาดของหัดสามารถพิจารณาให้วัคซีน MMR เข็มที่ 1 ช่วงอายุระหว่าง 9 - 12 เดือน ได้โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์หรือกุมารแพทย์ในพื้นที่)