เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#ทันหุ้น - บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways to Sideways Down ในกรอบ 1,230-1,250 จุด หลังสหรัฐฯประกาศอัตราภาษีสินค้านำเข้าไทยที่ 19% ใกล้เคียงคาด ขณะที่ดัชนีปรับตัวขึ้นร้อนแรงในช่วงก่อนหน้ารับความคาดหวังดังกล่าวไปมากพอสมควร สิ่งที่ดีคืออัตราภาษีที่ไทยได้รับใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา มาเลเซีย (19%) เวียดนาม ไต้หวัน (20%) ทำให้โดยรวมคาดว่าไทยจะยังรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้
อย่างไรก็ตามอัตราภาษีดังกล่าวไม่ได้ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ประกอบกับเราคาดว่าตลาดจะโฟกัสกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจใน 2H25 มากขึ้นว่าจะชะลอตัวมากน้อยเพียงใดจากอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นจากระดับชั่วคราวตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ 10% ด้าน Dollar Index และ Bond Yield สหรัฐฯยังคงอยู่ในระดับสูงและยังกดดันค่าเงินสกุลเอเชียให้อ่อนค่า ล่าสุดค่าเงินบาทยังอยู่ที่ 32.73 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่การทยอยประกาศกำไร 2Q25 บจ. ภาพรวมคาดว่าจะชะลอตัวทั้ง q-q และ y-y และต้องติดตามการปรับประมาณหลังประกาศงบและเพื่อสะท้อนแนวโน้มการเติบโตใน 2H25 ระยะสั้นเรามอง SET Index มี Upside จำกัดมากขึ้นหลังปรับตัวขึ้น 17% จาก Low ปลายเดือน มิ.ย. หุ้นที่ Laggard คาดมีโอกาสพลิกมาฟื้นตัวตามตลาด
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่ยัง Laggard ตลาดและมีกำไร 2Q25 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน ส.ค. : BDMS, CPALL, CPN, MTC, SCGP
FSSIA Portfolio : BA, BDMS, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, STECON
หุ้นเด่นวันนี้ : STECON
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.50 บาท
• เราประเมินกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 480 ลบ. สูงสุดในรอบ 21 ไตรมาส +41% q-q และจาก 25 ลบ.ใน 2Q24 แรงขับเคลื่อนหลักมาจาก GPM คาดปรับขึ้นจากการ reverse ค่าใช้จ่ายซ่อมแซมอุโมงค์บึงหนองบอนหลังได้รับเงินเคลมประกัน รวมถึง Core operation ที่เติบโตดี
• หากงบ 2Q25 ตามคาด กำไร 1H25 จะคิดเป็น 88% ของคาดการณ์ทั้งปีที่เราทำไว้ที่ 934 ลบ. (เทียบกับขาดทุน 2.4 พันลบ.ในปี 2024) ซึ่งมี Upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการจากการรับเงินเคลมประกันบึงหนองบอน
• แนวรับ 6.20//6 บาท แนวต้าน 6.60//6.90-7 บาท
ด้าน บล.ดาโอ คาดดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น โดยตลาดหุ้นไทย ตลาดตอบรับผลเจรจาการค้า คาดว่าจะออกไปในในทางบวก ส่วนเรื่องการรายงานกำไรและเงินปันผลงวดแรกของบริษัทในตลาดหุ้นไทย ส่วนใหญ่ที่ส่งงบ ราคาหุ้นจะขึ้นมากกว่าลง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ รับรู้ผลประชุม FOMC แบบที่ไม่ผิดคาด ความหวังในการลดดอกเบี้ย 17 ก.ย. ยังมีน้อย แต่หาก Trump สามารถปิดดีลภาษีได้ครบ และไม่คุกคามมาก ตลาดน่าจะกลับมาเล่นเรื่องการลดดอกเบี้ยในเดือนหน้าอีกครั้ง ส่วนกำไรบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม Tech อย่างเช่น Microsoft , Amazon ยังหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้แข็งแกร่งต่อไป
ผลการเจรจาภาษีไทย-สหรัฐฯ เราได้ภาษี 19% ใกล้เคียงกับ ASEAN อื่นๆ เป็นข่าวดี ส่วนเงื่อนไขที่เป็น non-tariff ที่เราต้องนำเข้าสินค้าพลังงานและเกษตรมากขึ้น มีผลต่อหุ้นในตลาดไม่มาก เพราะกลับมาบวกจากเรื่องอัตราภาษีที่ไม่โหดร้ายจนเกินไปมากกว่า ทั้งนี้ คาดตลาดจะตอบรับทางบวก ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงค์จากข่าวนี้ จะเป็น DELTA, KCE, ITC, WHA, AMATA
ศาลอุทธรณ์แห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับเขตสหพันธ์ (The U.S. Court of Appeals for the Federal Circuit) มีกำหนดรับฟังการไต่สวนด้วยวาจาในคดีที่ท้าทายการใช้กฎหมายอำนาจทางเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act หรือ IEEPA) ของทรัมป์ในการกำหนดอัตราภาษี
ชายแดนไทย-กัมพูชา มีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ยังคงปะทะต่อเนื่องเพื่อยึดพื้นที่บริเวณปราสาทตาควาย ด้านไทยกำลังเก็บหลักฐานกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทั้งนี้รอการประชุม GBC 4 ส.ค. ซึ่งมีกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ …. ตลาดรับรู้เรื่องนี้ไปบ้างแล้ว ขณะนี้นักลงทุนกำลังให้ความสนใจกับเรื่องการเจรจาการค้า และการเก็งงบของบริษัทจดทะเบียน
สัปดาห์หน้า วันที่ 8 ส.ค. 68 MSCI เตรียมประกาศหุ้นเข้า-ออกดัชนีฯ เพื่อ Rebalance และจะใช้ราคาปิดวันที่ 27 ส.ค. 68 เก็งดัชนี MSCI เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย บวกต่อหุ้นขนาดใหญ่ของไทย ที่อยู่ใน MSCI Thailand อาทิ ADVANC, DELTA, PTT, AOT, GULF
บริษัทจะทะเบียนต้องส่งรายงงานงบการเงิน ภายใน 14 ส.ค. 68 โดย DAOL ประเมินกำไรตลาด 2Q/25 ไว้ที่ 2.4 แสนล้านบาท -5% YoY; -13%qoq (1Q/25 ที่ 2.82 แสนล้านบาท) …. บริษัทจดทะเบียนที่จะประกาศงบฯ ในวันนี้ ได้แก่ MINT
Event วันนี้ : อัตราการว่างงานสหรัฐฯ (คาดการณ์ 4.2%; ครั้งก่อน 4.1%), การจ้างงานนอกภาคเกษตร(คาดการณ์ 108k; ครั้งก่อน 147%), PMI สหรัฐฯ
Strategy
• ตลาด ยังมีโอกาสเดินหน้าต่อ ได้อานิสงค์จากการเจรจาการค้าของไทยที่ปิดดีลได้แล้ว และจะมีการเข้ามาเก็งงบ 2Q กันอย่างต่อเนื่อง …. ดัชนีฯ ขึ้นถึงเป้า 1250 จุด ของเราแล้ว การร่วงลงของตลาด มองเป็นการลงในช่วงสั้นๆ
• กลยุทธ์ สลับขายทำกำไรหุ้นออกไปบ้าง เพื่อเปลี่ยนหุ้นชุดใหม่ ดัชนีฯขึ้นมามาก จากนี้ไป การเล่นของนักลงทุน จะเป็นลักษณะของรอบที่สั้นลง และสลับ Sector บ่อยขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงที่หุ้นขึ้นมาจากระดับดัชนีฯ 1050-1250 จุด ที่ผ่านมา
• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ STA*, OR, SCC, CRC ออก และนำ RCL*, TTB, ADVANC เข้ามาในพอร์ต หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย RCL*(10%), TTB(10%), ADVANC(10%), WHA(20%), ITC(10%), GULF(10%)
Technical : NCAP, MONO
ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินดัชนี SET 1,220 – 1,230 แนวต้าน 1,250 แม้ว่าดัชนีอาจถูกแรงชาย Sell on Fact แต่ในระยะถัดไปถือว่าเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาภาคส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 60% แนะนำทยอยซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวในกลุ่มส่งออก ITC,TU,KCE,DELTA,HANA,CCET, นิคม ฯ AMATA, WHA และหุ้น SET 100 ที่ยัง Underperform เช่น SAWAD, KTC, JMT, DOHOME, BGRIM, ERW, BTS
BPP* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 9.00 บาท) แนวโน้มกำไร 2Q68 ฟื้นตัว QoQ จากความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐที่เป็นขาขึ้นและโรงไฟฟ้าหลายแห่งกลับมาเดินเครื่องหลังหยุดซ่อมใน 1Q68 นอกจากนี้ดอกเบี้ยขาลงและเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่ายังเป็นปัจจัยบวกสำหรับ BPP ที่มีรายได้หลักในต่างประเทศมากกว่า 70% IAA consensus คาดกำไรปกติปี 68 ที่ 3,333 ลบ. +4%YoY dividend yield ดีที่ 8%
SYNEX* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 13.79 บาท) การดำเนินงานในช่วงปี68 มีแรงหนุนจาก Nintendo Switch2 ที่เปิดตัวมิ.ย.68 เป็นบวกต่อ SYNEX* ที่เป็น Nintendo Authorized Store และจะช่วยหนุนสินค้า Gaming ที่มีมาร์จิ้นดี ส่วน ภาพรวม คาดว่ากลุ่มสินค้าไอทียังมีปัจจัยบวกจากDemand การเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ให้ทันกับเทคโนโลยี(4g>5g>AI) รวมถึงการใช้งาน cloud/อุปกรณ์IoT ที่แพร่หลายขึ้น นอกจากนี้ การสนับสนุนสําหรับ Windows 10 ก็จะถูกยกเลิก หลังวันที่ 14 ต.ค.68 ปัจจุบัน ตลาดคาดว่าในปี68และ69 กำไรสุทธิของ SYNEX* จะอยู่ที่ระดับ 693 ลบ.(+10%YoY) และ 781 ลบ.(+13%YoY)