จับตา 29 ส.ค.จุดเปลี่ยนประเทศ
เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีนายทักษิณได้ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีต่างประเทศของเกาหลีใต้ พาดพิงดูหมิ่นสถาบัน เมื่อปี 2558 โดยศาลอาญาวันนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ ซึ่ง ยังเป็นวันครบ 2 ปี ที่ นายทักษิณ เดินทางกลับจากต่างประเทศ เข้าสู่กระบวนการบังคับโทษ
วันที่29 ส.ค.68 เวลา 09.30น.ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยในคำร้องของประธานวุฒิสภา ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รธน.มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีนี้มี สว. รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อ ประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่า ปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร (ผู้ถูกร้อง) กับ สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่18มิ.ย.68 ผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ โดยนัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00น.
วันที่9 ก.ย.68 เวลา 10.00น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปมร้อนชั้น 14 โดยมีคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยเข้าฟังคำสั่งศาลด้วย
ซึ่ง3 คดีใหญ่จะเป็น “ตัวแปร”ในการกำหนดทิศทางประเทศไทย โดยเฉพาะคดีปมเสียง “อังเคิล” ของ “นายกฯอิ๊งค์” วันที่ 29 ส.ค.นี้ และถ้าหากรอดจากศาลรัฐธรรมนูญ ขึ้นมาจริงๆ ตามที่แกนนำรัฐบาลหลายคนให้ความมั่นใจ แต่ก็ยังมีคำร้องเดียวกันอยู่ที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างการไต่สวน และถ้าหากถูกชี้มูลความผิด ก็ต้องส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถึงแม้จะไม่ได้มีสถานะเป็น “นายกรัฐมนตรี”แล้ว แต่เหตุแห่งการกระทำยังคงอยู่
และหากศาลฎีกาฯ ชี้กรณี ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ก็จะกลายเป็นผู้ที่อยู่ในข่ายขาดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนกรณีฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม โทษคือการเพิกถอนสิทธิ์สมัคร ลงรับเลือกตั้งตลอดชีวิตและเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 10ปี รวมถึงไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นับจากนี้ก็ต้องมาลุ้นระทึกว่า “นายกฯอิ๊งค์” ในวัยย่างเข้า 39 ปี จะลาออกหลังพ.ร.บ.งบประมาณปี 69 ผ่าน “รัฐสภา” ตามกระแสข่าวลือ หรือจะสู้ต่อ ไม่ลาออก สยบข่าวลือ
แต่ไม่ว่าจะลาออกหรือโดนศาลชี้ว่ามีมูลความผิด ก็ต้องมีการเลือก “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่า นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของพรรคเพื่อไทย (พท.) เส้นทางจะราบรื่นหรือไม่ เพราะยังมีแรงต้านทั้งปัญหาสุขภาพ และยังมีชนักติดหลัง ปมชงแก้ มาตรา 112
ซึ่งตรงนี้น่าสนใจว่าพรรคเพื่อไทย จะสามารถคุมเกมต่อรองอำนาจได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเกิดแรงกระเพื่อมสัญญาณ “ดีลลับพิเศษ” เมื่อ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ไม่ใช่คนของ“พรรคเพื่อไทย” เพราะมีการปรากฏชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยทั้ง 2 ชื่อนี้ถือว่ามีสิทธิโดยชอบธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ขณะเดียวกันคนที่ลุ้นหนักกว่าใครคือ “นายกฯคนพ่อ” เพราะถ้าหมดอำนาจ ติดบ่วงคดี ก็จะทำให้ “ดีลอำนาจ” ทุกอย่างก็จะพังรวมถึงสถานะ “นายกฯอิ๊งค์” ก็คงเดินหน้าบริหารประเทศลำบาก เพราะวิกฤติศรัทธามันดิ่งลงทุกวัน.