โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

พายุภาษีนำเข้าสหรัฐ กับชะตากรรมผู้ส่งออกไทย | วานิสสา เสือนิล

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

การกลับมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2025 นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงรุกในนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการใช้นโยบายภาษีนำเข้า เป็นเครื่องมือหลักเพื่อเสริมสร้างอำนาจต่อรองทางการค้าและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ

แม้จะไม่ใช่การเริ่มต้นแนวทางใหม่ทั้งหมด แต่มาตรการภาษีในยุคนี้ได้ต่อยอดและใช้กลไกทางกฎหมายที่มีอยู่แล้วให้เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการขยายการเก็บภาษีตามมาตรา 232 ภายใต้ พ.ร.บ.การขยายการค้า ค.ศ. 1962 (เพื่อความมั่นคงแห่งชาติ)

มาตรา 301 ภายใต้ พ.ร.บ.การค้า ค.ศ. 1974 (ตอบโต้การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม) และการใช้อำนาจภายใต้พระราชบัญญัติอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) เพื่อเก็บภาษีในวงกว้าง

มาตรการเหล่านี้มีลักษณะเป็นระบบภาษีแบบซ้อนชั้น เหมือนการวางชั้นเค้กหลายชั้น โดยเริ่มจากภาษีชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์มากที่สุด (Most-Favoured-Nation Tariff) หรือภาษี MFN แล้วจึงเพิ่มภาษีเพิ่มเติมตามเหตุผลและเงื่อนไขเฉพาะ

อาทิ การกำหนดอัตรา 25–50% สำหรับเหล็ก อะลูมิเนียม ยานยนต์ และทองแดงเพื่อลดการพึ่งพิงสินค้าสำคัญจากต่างประเทศ

การใช้ภาษีตอบโต้ตามมาตรา 301 กับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาร้ายแรง (สูงสุด 100%) และการเก็บภาษีเฉพาะประเทศ เช่น แคนาดา เม็กซิโก และจีน โดยอ้างเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาสารตั้งต้นยาเสพติด

พร้อมกันนี้ยังมีการเก็บภาษีพื้นฐาน (universal tariff) 10% กับสินค้าส่วนใหญ่ทั่วโลก และภาษีต่างตอบโต้ (reciprocal tariff) ที่ผูกกับระดับดุลการค้าระหว่างประเทศนั้นกับสหรัฐ

สถานะล่าสุดของอัตราภาษีนำเข้า (สิงหาคม 2025) ประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้ามากและอยู่ในกลุ่มพันธมิตรเศรษฐกิจสำคัญ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ถูกเรียกเก็บอัตราภาษีต่างตอบโต้ในระดับต่ำราว 15% (ดังภาพที่ 1)

ในขณะที่ไทยอยู่ในกลุ่มรองลงมาที่ 19% เท่ากับมาเลเซีย อินโดนีเซีย และใกล้เคียงกับ เวียดนาม (20%) และไต้หวัน (20%) โดยค่าเฉลี่ยภาษีตอบโต้รวมของคู่ค้าสหรัฐอยู่ที่ราว 20.4%

หมายความว่าไทยเผชิญอัตราภาษีต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียน (24.4%) รวมถึงเอเชียโดยรวม (23.7%)

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้มีพลวัตสูงจากการเจรจาทางการค้าและข้อพิพาททางกฎหมาย

ปัจจุบัน ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (CIT) มีคำสั่งระงับการเก็บภาษีที่อ้างอำนาจตามกฎหมาย IEEPA ชั่วคราว (แต่รัฐบาลสหรัฐยังคงสามารถบังคับใช้ภาษีได้ต่อไปหลังจากยื่นอุทธรณ์)

เนื่องจากคำสั่งอาจเกินขอบเขตกฎหมาย ทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีเฉพาะประเทศ ภาษีพื้นฐานและภาษีต่างตอบโต้ แต่ภาษีตามมาตรา 232 และมาตรา 301 ยังคงบังคับใช้ได้ตามปกติ

สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยปี ค.ศ. 2024 ไทยส่งออกไปสหรัฐมูลค่าราว 55 พันล้านดอลลาร์ หรือ 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย

กลุ่มสินค้าหลัก 15 รายการแรกที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด และคิดเป็นกว่า 60% ของมูลค่าการส่งออกรวมไปยังสหรัฐ ได้แก่ อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางรถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องประดับ และอาหารสัตว์เลี้ยง

หมายเหตุ: อัตราภาษีต่างตอบโต้ฉบับปรับปรุงตามภาคผนวก 1 (Annex I) ของคำสั่งของคำสั่ง E.O.14326 (ลงนาม 31 ก.ค.) และถ้าประเทศไหนไม่ปรากฏในตารางประกาศดังกล่าวจะถูกเก็บอัตราฐาน 10 % ตาม E.O.14257 เดิม; และ E.O.14329 (ลงนาม 6 ส.ค.) กำหนดเพิ่มภาษีอีก 25% ต่อสินค้าจากประเทศที่นำเข้าน้ำมันรัสเซีย

สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่ยังได้รับการยกเว้นภาษีต่างตอบโต้ชั่วคราว อาทิ เราเตอร์/สวิตช์ หน่วยเก็บข้อมูล อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ต่าง ๆ และแผงวงจรรวมส่งผลให้ไทยไม่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมเช่นเดียวกับคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม

ในขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างจีนและเม็กซิโก (หากไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลง USMCA ได้) ต้องเสียภาษีเฉพาะประเทศเพิ่มเติมอีก 20% และ 25% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม สินค้าในกลุ่มนี้บางรายการที่มีลักษณะเป็นอนุพันธ์ของเหล็กและอลูมิเนียม จะถูกเก็บภาษีเฉพาะสินค้าตามมาตรา 232 สูงถึง 50% เท่ากันทุกประเทศ (จีนอาจสูงถึง 70%) ซึ่งสินค้าที่ได้รับผลกระทบหลัก ได้แก่ อะไหล่คอมพิวเตอร์ และเครื่องปรับอากาศ

ดังนั้น หากการเจรจาระหว่างสหรัฐกับจีนไม่บรรลุผล และจีนถูกเรียกเก็บภาษีเฉพาะประเทศในระดับสูงอย่างถาวร โอกาสเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว คือการดึงดูดการลงทุนเพื่อย้ายฐานการผลิตจากจีนมาที่ไทยแทน อาจเกิดขึ้นได้

โดยเฉพาะ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล (HS847170) เพื่อหลบเลี่ยงภาษีเฉพาะ (IEEPA/301) ของจีน ซึ่งไทยมีฐานการผลิตขนาดใหญ่และส่งออกอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม การย้ายฐานการผลิตดังกล่าวจะต้องผ่านเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงอย่างมีสาระสำคัญ (substantial transformation) ของศุลกากรและกรมศุลกากรสหรัฐ (CBP)

ซึ่งหมายถึงกระบวนการผลิต การประกอบ หรือโปรแกรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงสินค้าอย่างมีสาระสำคัญ หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าว สินค้าจะยังคงถูกพิจารณาว่ามีถิ่นกำเนิดจากจีนและถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราเดิม (40% กรณีทั่วไป หรือ 70% กรณีสินค้าภายใต้ภาษีนำเข้ามาตรา 232)

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นการหลีกเลี่ยงภาษี หากการย้ายฐานการผลิตดำเนินการเพียงผิวเผิน โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในกระบวนการผลิต

ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องพิจารณาการออกแบบห่วงโซ่อุปทานในไทยให้มีความลึกเพียงพอเพื่อให้ได้รับสิทธิถิ่นกำเนิดไทยอย่างมั่นใจและเป็นไปตามมาตรฐานที่สหรัฐกำหนด

ยางรถยนต์ แม้ว่าไทยจะดำรงตำแหน่งผู้นำในตลาดยางรถยนต์ของสหรัฐอเมริกาและมีอัตราภาษีนำเข้ารวมที่ต้องเผชิญประมาณ 23% ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งหลักอย่างเม็กซิโก (29%) และแคนาดา (39%) แต่ข้อได้เปรียบดังกล่าวเป็นเพียงการเปรียบเทียบในเชิงตัวเลขเท่านั้น

เนื่องจากหากผู้ผลิตในเม็กซิโกหรือแคนาดาสามารถปฏิบัติตามกฎถิ่นกำเนิดของข้อตกลง USMCA ได้ อัตราภาษีนำเข้าจะลดลงเหลือ 0% ทำให้ไทยเสียเปรียบด้านราคาทันที

ในกรณีนี้ไทยอาจต้องพิจารณาทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การร่วมทุนสร้างฐานการผลิตในเขต USMCA เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ภาษี 0% (เหมาะกับสินค้ารุ่นแมสที่ต้องแข่งขันด้านราคา แต่ต้องยอมรับ ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่สูงขึ้นและจำเป็นต้องบริหารกฎถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวด)

หรือการเปลี่ยนแปลงพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ไปสู่สินค้าพรีเมียม หรือเฉพาะทาง เพื่อลดการพึ่งพิงความได้เปรียบด้านราคาเพียงอย่างเดียว เป็นต้น

เครื่องประดับการส่งออกเครื่องประดับเงินและโลหะมีค่าจากไทยไปยังสหรัฐอเมริกาเผชิญกับอัตราภาษีรวมประมาณ 26% เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ไทยเสียเปรียบเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผู้ผลิตยุโรปที่เผชิญภาษีประมาณ 21%

อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงได้เปรียบอย่างมากเมื่อเทียบกับอินเดียซึ่งต้องเผชิญภาษีรวมถึง 56% สำหรับสินค้ารุ่นแมสที่มีความอ่อนไหวต่อราคา อัตรากำไรจะมีความตึงตัวมากกว่าสินค้าจากยุโรป

แต่กลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับกลางถึงพรีเมียม ยังคงมีโอกาสในการชดเชยภาระภาษีผ่านการสร้างความแตกต่างของสินค้า อาทิ การออกแบบ งานฝีมือ เรื่องราวของแบรนด์

ดังนั้น ไทยอาจเร่งรัดการปรับเปลี่ยนพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ไปสู่กลุ่มสินค้ามูลค่าสูง ควบคู่ไปกับการควบคุมต้นทุนของสินค้าที่ยังต้องแข่งขันด้านราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดโดยรวม

อะไหล่ยานยนต์ ไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 1% ในขณะที่เม็กซิโกครองตลาดถึง 41% ตามมาด้วยแคนาดา 13% และจีน 11% สินค้ากลุ่มนี้ถูกเก็บภาษีเฉพาะสินค้าภายใต้มาตรา 232 ที่อัตรา 50% สำหรับผู้ส่งออกเกือบทุกประเทศ (ยกเว้นจีนที่รวมภาษีเฉพาะประเทศด้วยเป็น 70%)

ผู้ส่งออกไทยไม่ได้เสียเปรียบด้านภาษีเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งส่วนใหญ่ แต่ไทยยังคงเผชิญความท้าทายจากต้นทุนโลจิสติกส์และระยะเวลาการจัดส่งเมื่อเปรียบเทียบกับห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้ข้อตกลง USMCA ที่อยู่ใกล้โรงงานประกอบในทวีปอเมริกาเหนือ

ไทยจึงต้องควบคุมต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการขนส่ง เพื่อชดเชยข้อเสียเปรียบด้านระยะทาง

อาหารสัตว์เลี้ยงไทยมีข้อได้เปรียบชัดเจนในตลาดอาหารสุนัขและแมว (HS230910) โดยครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในตลาดสหรัฐฯ ที่ 26% และเผชิญภาษีรวมเพียง 19% เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งหลัก ได้แก่ แคนาดา (37%) จีน (31%) เม็กซิโก (26%) และอินโดนีเซีย (23%)

ส่งผลให้สินค้าจากไทยสามารถกำหนดราคาที่แข่งขันได้มากกว่าโดยรวม แต่ความได้เปรียบอาจลดลงหากคู่แข่งใช้สิทธิ USMCA ได้ จึงควรรักษาคุณภาพและสร้างความแตกต่างด้วยสูตรพรีเมียม

นอกจากผลกระทบทางตรงแล้ว ยังมีผลกระทบทางอ้อมที่สำคัญคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทยเป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับสองของไทย มีความเสี่ยงสูงจากการถูกเรียกเก็บภาษีในระดับสูงจากสหรัฐอเมริกา
(หากเจรจาไม่บรรลุผล ซึ่งเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2025 ได้มีการขยายเวลาการบังคับใช้ภาษีต่างตอบโต้ออกไปอีก 90 วัน เพื่อเจรจาหาข้อตกลง)

ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับคาดการณ์การเติบโตของการค้าโลกในปี ค.ศ. 2025 เป็น 3% ขณะที่องค์การการค้าโลก (WTO) ประเมินว่าปริมาณการค้าโลกอาจขยายตัวเพียง 0.9% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าฉากทัศน์ก่อนสหรัฐปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า

เหตุการณ์ดังกล่าว สะท้อนถึงแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีต่อประเทศผู้ส่งออกอย่างไทย

นอกจากนั้น การแข่งขันในตลาดโลกยังรุนแรงขึ้นจากการเบี่ยงเส้นทางการค้า (trade diversion) เมื่อประเทศที่ถูกเก็บภาษีสูงส่งสินค้ามายังตลาดอื่นรวมถึงอาเซียน ทำให้ผู้ผลิตไทยต้องแข่งขันกับสินค้าราคาต่ำหรือได้รับการอุดหนุนเพิ่มขึ้น

อีกทั้งยังมีความเสี่ยงการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า (origin fraud/transshipment) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้สินค้าจากไทยถูกตรวจสอบเข้มงวดและล่าช้าขึ้น แม้ผู้ประกอบการจะดำเนินธุรกิจอย่างสุจริตก็ตาม

โดยรวมแล้ว นโยบายภาษีของรัฐบาลทรัมป์ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยในระดับที่จำกัด เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่น อัตราภาษี 19% ที่ไทยเผชิญยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักอยู่ที่การแข่งขันกับประเทศที่มีข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าโลก และความไม่แน่นอนทางกฎหมาย

ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยอาจพิจารณาปรับกลยุทธ์โดยการยกระดับคุณภาพสินค้าไปสู่ระดับพรีเมียม การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน การเตรียมความพร้อมด้านเอกสารการพิสูจน์ถิ่นกำเนิดสินค้า

รวมถึงการกระจายตลาดไปยังภูมิภาคอื่นจะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดสหรัฐอเมริกาเพียงตลาดเดียว

ภาครัฐควรยกระดับการเจรจาต่อรองนี้ เป็นการทำข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย-สหรัฐฯ เพื่อสร้างความแน่นอนด้านนโยบายการค้าแก่ผู้ประกอบการ

และในระยะยาว ความสำเร็จของการปรับตัวจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างความแตกต่างของสินค้า การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทาน และการติดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การปรับตัวเชิงรุกเช่นนี้จะช่วยให้ไทยรักษาสถานะในตลาดโลกได้ แม้สภาพแวดล้อมการค้ายังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

'ฝ่ายค้าน' ชำแหละ งบรัฐสภา พบขอแปร ทำห้องจัดเลี้ยง ราคาสูง

28 นาทีที่แล้ว

‘นิติพล’ กังขา ชงเองกินเอง ? ก.ทรัพย์ฯ จัดงบ ‘โครงการสร้างหัวหาดเทียม’ ลงบ้านรมต.

29 นาทีที่แล้ว

‘สิริน ’ชงลดงบ ‘โครงการไทยเทรด’ กระทรวงพาณิชย์ เหตุตัวชี้วัดไม่ชัด

38 นาทีที่แล้ว

เคาะราคา ZEEKR 7X SUV เพิ่มตัวเลือกใหม่ เริ่ม 1,399,000 บาท

51 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไอที ธุรกิจอื่น ๆ

SABINA เผยช่องทางขาย OEM แนวโน้มดีกว่าคาด

StockRadars

เศรษฐกิจญี่ปุ่นโตแรงเกินคาด ขยายตัว 5 ไตรมาสติด กลุ่มแบงก์นำทีมรับอานิสงส์ดอกเบี้ยขาขึ้น!

Finnomena

3 ตัวช่วยคำนวณภาษี เลือกใช้ได้ตามถนัด

FinSpace

ITEL จ่อผนึกพันธมิตรต่างชาติเสริมศักยภาพ รุกตลาดบริการ Cloud ครบวงจรทั้งในและต่างประเทศ

THE STATES TIMES

บพท. หนุนวิจัยแก้วิกฤตชายแดน จัดงบเร็ว - แม่นยำ รับปัญหาพื้นที่

กรุงเทพธุรกิจ

Evening Report 2025-08-15

StockRadars

SET ปิดลบ 7 จุด บาทอ่อนฉุด “ฟันด์โฟลว์” ไหลออก จับตาตัวเลข GDP ไทยสัปดาห์หน้า

ข่าวหุ้นธุรกิจ

IROYAL โชว์กำไรนิวไฮ 40 ล้านบาท รับแผนขยายฐาน-แบ็กล็อกแน่น 721 ล้านบาท

ข่าวหุ้นธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...