สว. เดชา ค้านแก้นิยามกฎหมาย ‘คุกคามทางเพศ’ ชี้เป็นเรื่องธรรมชาติมนุษย์ หวั่นตีความเกินจริง
วันนี้ (18 สิงหาคม) ที่ประชุมวุฒิสภา (สว.) มีการอภิปรายร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ว่าด้วยความผิดฐาน ‘คุกคามทางเพศ’ ซึ่งมีการเพิ่มนิยามให้ครอบคลุมการกระทำหลายลักษณะ ได้แก่ การกระทำโดยทางกาย วาจา การส่งเสียง การแสดงอากัปกิริยาหรือท่าทาง การติดต่อสื่อสาร การเฝ้าดู การติดตามรังควาน หรือกระทำด้วยประการใดๆ รวมถึงผ่านระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคม หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถแสดงผลให้เข้าใจความหมายได้ โดยถือว่าหากมีลักษณะส่อไปทางเพศในประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนรำคาญ อับอาย ถูกเหยียดหยาม หวาดกลัว หรือได้รับความไม่ปลอดภัยในทางเพศ ให้ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม เดชา นุตาลัย สว. ลุกขึ้นอภิปรายแสดงความไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลและยกตัวอย่างประกอบเป็นลำดับ โดยตั้งข้อสงสัยว่าผู้ร่างกฎหมายมีปมอะไรในใจหรือไม่ พร้อมชี้ว่าคำว่า ‘ด้วยประการใดๆ’ เป็นการกำหนดคำที่กว้างเกินไป ขณะเดียวกันยังระบุว่ามี 3 คำที่ตนเองไม่เห็นด้วย
เดชาอภิปรายการระบุว่า ‘การส่งเสียง’ อาจเป็นคุกคามทางเพศ โดยมองว่าการแซวจีบเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตมนุษย์ ซึ่งเป็นธรรมชาติ ไม่ควรถูกตีความว่าเป็นความผิด และไม่เห็นด้วยกับการกำหนดว่า ‘การเฝ้าดู’ จะเข้าข่ายผิดกฎหมาย โดยอธิบายว่าคนที่ชอบใครก็มักจะมองหรือไปสืบหาว่ามีแฟนหรือยัง ซึ่งหลายครั้งความสัมพันธ์ก็ลงเอยด้วยดี พร้อมยกสุภาษิต ‘ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก น้ำหยดลงหิน หินยังกร่อน’ และตั้งคำถามว่า การกระทำเช่นนี้จะถูกนับเป็นคุกคามทางเพศจริงหรือ
เดชายังได้ตัวอย่างบทกวีหรือเพลง เช่น เนื้อหาที่ว่า “บ้านน้องอยู่ฝั่งทางโน้น บ้านพี่อยู่ฝั่งทางนี้ หัวสะพานตรงกัน อาบน้ำกันเห็นกันทุกที” ซึ่งตามกฎหมายใหม่ หากเห็นกันมากกว่า 2 ครั้งอาจเข้าข่ายติดคุกได้
เดชายังกล่าวถึงเพลงรักอื่นๆ เช่น “มองเธอสาวเธอสวยฉันจึงได้มอง หากเธอไม่สวยฉันจะไม่มอง หากเธอไม่แจ่มฉันจะไม่จ้อง” พร้อมย้ำว่าเป็นเรื่องธรรมดาของสังคม
เดชายังแสดงความกังวลว่า หากผ่านกฎหมายนี้ นักร้องนักดนตรีอาจได้รับผลกระทบเพราะเนื้อหาเพลงอาจถูกตีความว่าเป็นคุกคามทางเพศ ทั้งที่จริงเป็นการแสดงความชอบพอ พร้อมยกคำพังเพยว่า “รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ” และกล่าวกับประธานการประชุมว่า น่าจะเข้าใจเพราะเคยเป็นหนุ่มมาก่อน
เดชายังอภิปรายอ้างอิงร่างกฎหมายมาตรา 284/1 ที่กำหนดโทษสำหรับผู้คุกคามทางเพศ หากไม่เข้าข่ายความผิดฐานอนาจาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมเตือนว่าหากผู้ชายไปเกี้ยวสาวสุ่มสี่สุ่มห้าเสี่ยงติดคุก
เดชายังยกตัวอย่างว่า หากไปเดินห้างแล้วเห็นผู้หญิงสวยๆ เดินผ่านแล้วมอง 2 ครั้ง หากฝ่ายหญิงไปแจ้งความ ชายอาจถูกดำเนินคดี โดยมองว่าจะเปิดช่องให้เกิดการแบล็กเมล พร้อมบอกว่า “ผมเป็นคนจนชาวนาไม่เดือดร้อน แต่ลูกหลานคนรวยๆ จะเดือดร้อน”
เดชายังระบุอีกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ผู้หญิงถูกผู้ชายมองแล้วย่อมรู้สึกตื่นเต้น ใจเต้นแรงบ้าง จึงไม่ควรถือว่าเป็นคุกคามทางเพศ พร้อมคัดค้านถ้อยคำว่า ‘จะคุกคามทางเพศ’ โดยเห็นว่าหมายถึงยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ผู้หญิงคาดเดาแล้วไปแจ้งความ เช่น เห็นผู้ชายสองคนเดินมาแล้วคิดว่าจะคุกคาม ทั้งที่ชายอาจไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ ซึ่งจะสร้างปัญหาให้ตำรวจและนักกฎหมายในการทำงาน ย้ำว่าคำว่า ‘จะ’ เป็นเพียงการมโน ไม่ใช่การกระทำจริง
เดชายังยกตัวอย่างกรณีพระอยู่ในวัดแล้วมีผู้หญิงไปหา อาจถูกตีความว่าเป็นคุกคามทางเพศได้ พร้อมพูดเปรียบเปรยว่า “พระบางทีก็แข็งเหมือนกัน บางทีก็อ่อน คือใจแข็งใจอ่อน ก็น่าเห็นใจ”
เดชายังกล่าวทิ้งท้ายว่า “เราจะใช้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในฝ่ายเดียวคงไม่ได้ครับ”
ทั้งนี้ ร่างกฎหมาย มาตรา 284/3 ของร่างแก้ไขกฎหมาย ยังบัญญัติด้วยว่า หากคดีคุกคามทางเพศปรากฏต่อศาล ไม่ว่าจะตามข้อเสนอของพนักงานอัยการ โจทก์ ผู้เสียหาย หรือเจ้าพนักงาน ว่าจำเลยมีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าจะคุกคามทางเพศหรือรบกวนการดำเนินชีวิตของผู้เสียหายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าศาลจะลงโทษจำเลยหรือไม่ ศาลสามารถมีคำสั่งห้ามจำเลยกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาได้ไม่เกิน 2 ปี
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาภายหลัง สว. อภิปรายจบ ปรากฏว่าที่ประชุม สว. ลงมติเสียงข้างมากให้รับร่างกฎหมายนี้ไว้พิจารณา