“ไปรษณีย์ไทย” 6 เดือนโกยกำไรสุทธิ 631 ล้านบาท
Reporter Journey
อัพเดต 18 สิงหาคม 2568 เวลา 22.44 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Reporter Journeyบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ประกาศผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีกำไรสุทธิ 631.56 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 362.34% รายได้รวม 11,544 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 8.88% โดยในวาระครบรอบ 142 ปี ไปรษณีย์ไทยมุ่งดำเนินงานผ่านกลยุทธ์ “1-4-2” เป็นขนส่งอันดับ 1 ที่โดดเด่นทั้งคุณภาพและเครือข่าย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมด้วย 4 พลังสำคัญ ได้แก่ พลังความเร็ว พลังเพื่อธุรกิจ พลังเชื่อมโลก พลังความล้ำ พร้อมทั้งเป็น 2 แกนหลักการเป็นผู้เชื่อมความสัมพันธ์และความสำเร็จให้คนไทย โดยจะสร้างประสบการณ์ใหม่ภายใต้แนวคิด “POSTsible Together เป็นไปรฯ ได้ไปรฯ ด้วยกัน”อาทิ การเปิดตัว Super App การเปิดตัว D/ID ระบบจ่าหน้าแบบดิจิทัล การต่อยอดคุณภาพบริการขนส่งแบบ Specialized Logistics ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคน
นายรัฐพล ภักดีภูมิ ประธานกรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่าเพื่อสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การดำเนินงานของไปรษณีย์ไทยในยุคดิจิทัลจึงได้ขับเคลื่อนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่กับการยกระดับคุณภาพบริการให้ได้มาตรฐานสากล รวมถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของประชาชน เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย พร้อมกันนี้ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่โปร่งใสตรวจสอบได้และยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ โดยมุ่งให้ไปรษณีย์ไทยไม่เพียงเป็นผู้ให้บริการขนส่ง แต่เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล และสร้างคุณค่าทางสังคมในระยะยาว นอกจากนี้ ได้วางแผนขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและการเข้าถึงบริการดิจิทัลอย่างทั่วถึงพร้อมทั้งผลักดันโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยและวิสาหกิจชุมชนให้สามารถใช้แพลตฟอร์มไปรษณีย์ไทยเป็นช่องทางสร้างรายได้ และเข้าถึงตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 ไปรษณีย์ไทยยังคงมีการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากรายได้รวม 11,544 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 631.56 ล้านบาท โดยรายได้รวมเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ถึง8.88% กำไรสุทธิเติบโตขึ้น 362.34% กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้สูงสุด คือ กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ คิดเป็น 46.83% ของรายได้ทั้งหมดโดยมีรายได้รวม 5,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.56% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ปริมาณชิ้นงานเพิ่มขึ้น 6%
เพื่อตอกย้ำศักยภาพสื่อสารและขนส่งของชาติ ในวาระ 142 ปี ไปรษณีย์ไทยได้มุ่งการเสริมสร้างทุกความสัมพันธ์ ส่งเสริมทุกการเติบโต พร้อมวางกลยุทธ์ “1-4-2” ให้เป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนองค์กร โดย “1” คือการเป็นขนส่งอันดับ 1 ของคนไทย ที่โดดเด่นทั้งคุณภาพบริการตั้งแต่ระบบรับฝาก ส่งต่อ และนำจ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีเครือข่ายครอบคลุมเข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศรวมกว่า 50,000 แห่ง ทำให้สามารถให้บริการแบบมืออาชีพ และเหนือความคาดหวังของลูกค้าในทุก Touch point อีกทั้งยังยกระดับองค์กรสู่การเป็น Tech Post อย่างเต็มรูปแบบด้วยการนำเทคโนโลยี AI มาขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ ซึ่งในปีที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยมีคะแนน Top of Mind ของแบรนด์ 99.54%และมีคะแนนความไว้วางใจในแบรนด์ 96.11% สะท้อนถึงการเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นและไว้ใจจากคนไทย
“4 พลัง” ขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ พลังความเร็ว ที่มุ่งส่งมอบการให้บริการที่รวดเร็วแม่นยำ โดยบริการที่มีความโดดเด่น และได้รับความนิยมสูงที่สุดยังคงเป็นบริการส่งด่วนEMS ที่ทำรายได้คิดเป็น 43.31% ของรายได้รวมของไปรษณีย์ไทย พลังเพื่อธุรกิจ ที่ออกแบบโซลูชันรองรับตั้งแต่ผู้ประกอบการรายเล็กถึงรายใหญ่ เช่น การให้บริการคลังสินค้าครบวงจร หรือ THP Fulfillment ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่มีภาคธุรกิจขนาดใหญ่ลงทุนมีการเติบโตและขยายตัวของธุรกิจขนาดเล็ก – กลาง ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่จะเอื้อต่อการขยายฐานลูกค้าเป้าหมายของผู้ใช้บริการ พลังเชื่อมโลก ที่พร้อมพาธุรกิจไทยเติบโตได้ครอบคลุม 205 ปลายทาง 193 ประเทศ และพลังความล้ำ ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่มาปรับใช้ในการพัฒนาบริการเพื่อตอบโจทย์โครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น Digital Postbox บริการตู้ไปรษณีย์ดิจิทัลจาก Prompt Post ที่ต่อยอดการส่งจดหมายแบบPhysical สู่ Digital สามารถรับ-ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ รวดเร็ว ใช้งานง่าย ปลอดภัย ติดตามสถานะได้บริการ D/ID ระบบการจ่าหน้าแบบดิจิทัล ที่สามารถแปลงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ส่งและผู้รับเป็นรหัส 6 หลัก ซึ่ง 2 บริการนี้พร้อมจะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้
ขณะที่ “2” คือ 2 แกนหลักที่เป็นผู้เชื่อมทั้งความสัมพันธ์และความสำเร็จ นอกจากนี้ยังมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจพร้อมกับดูแลสังคมอย่างยั่งยืน ภายใต้ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม โดยได้นำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในระบบงาน มุ่งดำเนินงานด้าน Circular Economy ผลักดันโครงการ Green Hub ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร อาทิ โครงการ reBOX โครงการreBAG โครงการ e-Waste ฯลฯ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 4,670 ตันคาร์บอนเทียบเท่าในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังได้ปรับเปลี่ยนเสื้อเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทยโดยเครื่องแบบแต่ละชุดใช้ผ้าที่ใช้กรรมวิธีช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.77 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับการลดระยะทางขับรถยนต์ได้ประมาณ 3.08 กิโลเมตร ซึ่งจากปริมาณการผลิตทั้งหมดสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 53,360 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับการลดระยะทางขับรถยนต์ได้ประมาณ 213,440 กิโลเมตร เท่ากับการเดินทางรอบโลก 5 รอบ
ด้านสังคม มุ่งเน้นการสร้างชุมชนที่ยั่งยืน ด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งไปรษณีย์ไทยมุ่งสนับสนุนเกษตรกรไทยกระจายสินค้า และผลผลิตผ่านเครือข่ายไปรษณีย์กว่า 1,200แห่ง และแพลตฟอร์ม ThailandPostMart โดยครึ่งปีแรกของปี 2568 สร้างรายได้แล้วกว่า 360 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 10% และคาดว่าในปี 2568 จะสามารถสร้างรายได้รวมที่ 760 ล้านบาท นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังสนับสนุนบริการเชิงสังคม (PSO) ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน รวมกว่า 28,000 ล้านบาท และในช่วงที่เกิดการปะทะในพื้นที่ชายแดนไปรษณีย์ไทยได้เปิดแคมเปญเชิญชวนคนไทยร่วมส่งสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีน้ำใจจากคนไทยส่งผ่านไปรษณีย์ไทยแล้วกว่า 34,302 กล่อง รวมน้ำหนักมากกว่า 104,365 กิโลกรัม
ด้านธรรมาภิบาลและการกำกับดูแล ที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญในเรื่องของการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาผลการประเมินคะแนนคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) อยู่ที่ 91.70 คะแนน และยังได้รับรางวัลระบบบริหารจัดการความเสี่ยงการทุจริตระดับ “ดีเยี่ยม” จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อีกด้วย
“นอกจากกลยุทธ์ “1-4-2” แล้ว ไปรษณีย์ไทยยังมุ่งสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมีการสร้างการจดจำ และสร้างประสบการณ์ใหม่ทั้งในด้านสินค้า บริการ และไลฟ์สไตล์ ภายใต้แนวคิด “POSTsible Together เป็นไปรฯ ได้ ไปรฯ ด้วยกัน” อาทิ การเปิดตัว Super App แอปพลิเคชัน ที่รวบรวมบริการหลากหลายของไปรษณีย์ไทยไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดตามพัสดุ สร้างใบจ่าหน้า เรียกรับพัสดุ ชำระค่าบริการ และเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้อย่างครบวงจร พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับบริการภาครัฐและพันธมิตรภาคเอกชน มุ่งเสริมศักยภาพ SME ไทย ให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทยได้ร่วมกับแพลตฟอร์ม Amazon ในการส่งสินค้าจากผู้ประกอบไทยเข้าคลัง Amazon FBA (Fulfillment by Amazon) ซึ่งออกแบบมาสำหรับผู้ขายบน Amazon.com ที่ต้องการส่งสินค้าเข้าคลังในสหรัฐอเมริกา โดยไปรษณีย์ไทยเป็นผู้รวบรวมสินค้าในประเทศไทย ดำเนินพิธีการศุลกากร และส่งสินค้าสู่คลัง FBA เพื่อสนับสนุนผู้ค้ารายย่อยและ SME ไทยกระจายสินค้าสู่ตลาดอเมริกา
นอกจากนี้ ยังมีการต่อยอดแนวคิดการขนส่ง Parcel Defined Logistics ให้มีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้นในรูปแบบ Specialized Logistics เช่น Healthcare Logistics for Pet หรือการขนส่งสินค้าเพื่อกลุ่มสัตว์เลี้ยงการขนส่งสินค้ามูลค่าสูง และการขนส่งนมแม่ เป็นต้น ขณะที่ในด้านบริการทางการเงิน ไปรษณีย์ไทยพัฒนา e-Payment ให้รองรับการชำระ COD และเชื่อมต่อกับพันธมิตรหลากหลาย ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กรมการขนส่งทางบก ทิพยประกันภัย WeChat Pay และ Alipay เพื่อขยายช่องทางชำระเงินอย่างครอบคลุมทุกความต้องการ อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือการต่อยอดข้อมูลขนาดใหญ่สู่ “Data as a Service” ที่จะสร้างรายได้เชิงพาณิชย์อย่างจริงจังในปี 2569 โดยใช้การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อพัฒนาบริการที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลและภาคธุรกิจได้อย่างแม่นยำ”ดร.ดนันท์ กล่าวทิ้งท้าย