เมื่อนโยบายส่งเสริมคนเป็นแม่ของภาครัฐ ขัดกับความเป็นจริงที่คนเป็นแม่เผชิญ
เมื่อนโยบายส่งเสริมคนเป็นแม่ของภาครัฐ ขัดกับความเป็นจริงที่คนเป็นแม่เผชิญ
เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นที่จีนแผ่นดินใหญ่
คุณนายหวังกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้านี้เธอใช้สิทธิ์ลาตามกฎหมาย 158 วันเพื่อไปคลอดลูก ทันทีที่เธอกลับเข้ามาถึงโต๊ะทำงาน เธอโดนหัวหน้าเรียกตัวเข้าพบทันทีพร้อมแจ้งว่าเธอสามารถเลิกก่อนเวลได้ 1 ชั่วโมง ตามนโยบายให้นมบุตรของจีนที่มีการประกาศใช้ไปไม่นาน แต่เธอปฏิเสธ และแจ้งว่าเธอจะเลิกงานในเวลาปกติเหมือนคนอื่น
คุณนายหวังเป็นคุณแม่มือใหม่ที่แสดงสปิริตการทำงานสุด ๆ
แต่เปล่าเลย เรื่องจริงไม่ใช่แบบนั้น
เพราะเมื่อช่วงที่เธอลาคลอดลูก เธอได้รับการประเมินผลการทำงานว่าแย่ที่สุด เนื่องจากเธอทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ของเธอต้องมาทำงานแทนเธอระหว่างที่เธอไม่อยู่ และในท้ายที่สุดเธอถูกไล่ออกไปเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้ เรื่องราวของเธอถูกตีแผ่โดย The Economist
ตอนนี้รัฐบาลจีนพยายามอย่างเต็มที่ในการจะเพิ่มอัตราการเกิดของประเทศผ่านนโยบายส่งเสริมต่าง ๆ เช่น การให้เงินอุดหนุนครอบครัวที่มีลูกจำนวน 500 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี/คน (ราว 16,200 บาทต่อปี) สำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปี หรือนโยบายที่มุ่งเป้าไปที่คุณแม่ เช่น การปรับตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นสำหรับพนักงานที่เป็นแม่คนจนกระทั่งลูกอายุ 12 ขวบ (นโยบายนี้ถูกใช้ที่มณฑลหูเป่ย์เป็นที่แรก ๆ ในจีน) หรือแม้แต่นโยายที่ชื่อว่า Mom Jobs ‘งานสำหรับคุณแม่’
งานสำหรับคุณแม่
นโยบายงานสำหรับคุณแม่เกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2565 จากการสนับสนุนของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เพื่อจุดประสงค์เดียวคือให้แต่ละครอบครัวมีลูก และเมื่อรัฐสั่งลงมาก็เป็นหน้าที่ของแต่ละรัฐบาลท้องถิ่นที่ต้องไปหาทางจัดการกันเองกับบริษัทเอกชนในท้องที่
ครั้นเอกชนจะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะนโยบายนี้ถือเป็นนโยบายระดับชาติ เป็นนโยบายที่ทำเพื่อสังคมและทำเพื่อชาติ ผลที่ตามมาคือเมื่อสิ้นปี 2567 นครกว่างโจว (Guangzhou) มีตำแหน่งงานสำหรับคุณแม่ 12,760 ตำแหน่งในภาคอีคอมเมิร์ซ แม่บ้าน การผลิต ในขณะที่ฉงชิ่ง (Chongqing) มีตำแหน่งงานสำหรับคุณแม่มากกว่า 23,000 ตำแหน่ง
คือสุดท้ายมันก็มีงานเฉพาะเจาะจงสำหรับคุณแม่ได้
ในเชิงปริมาณถือว่าไม่เลว แต่ในด้านของคุณภาพเป็นอีกเรื่อง
The Economist รายงานว่าส่วนใหญ่แล้วเหล่านี้เป็นงานที่ให้ค่าตอบแทนต่ำ จ่ายเป็นรายชั่วโมง หรือรับค่าจ้างเป็นงานรายชิ้น เช่น โรงงานเสื้อผ้าที่มณฑลกุ้ยโจว (หนึ่งในมณฑลยากจนที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน) ที่บรรดาคุณแม่จะได้รับเงินรายครั้งตามจำนวนผ้าที่ทอเสร็จ เพื่อให้คุณแม่มีความยืดหยุ่นในตารางงานมากพอที่จะไปรับลูก ดูแลลูกตามนโยบายที่รัฐบาลกำหนดมา
ถ้าผู้หญิงออกจากงานไปเป็นแม่คน ?
ทว่านโยบายที่จะให้ผู้หญิงกลายเป็นแม่คน ออกจากระบบการทำงานแบบปกติ ไปทำงานเฉพาะแม่ ๆ ก็มีข้อกังวลในสังคมเหมือนกันเนื่องจากในมุมหนึ่ง สังคมจีนก็ต้องการให้ผู้หญิงทำงานมากขึ้น ทดแทนกับสถานการณ์ประชากรจีนสูงวัย นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชิงหัวในปักกิ่ง ‘หลิว เฉิงหลง’ (Liu Shenglong) ตั้งข้อสังเกตุว่า ปัจจุบันนักศึกษาระดับปริญญาตรีของมหาลัยกว่า 60% คึอเพศหญิง
”ถ้านักศึกษากลุ่มนี้ที่ในอนาคตจะกลายเป็นแม่คน และออกจากตลาดแรงงานไป การกระทำแบบนี้จะเป็นการเสียของเปล่า ๆ หรือไม่ ?” หลิว ตั้งคำถามกับนโยบายและสถานการณ์ปัจจุบันของแรงงานเพศหญิงในจีน ซึ่งจากผลสำรวจก็ระบุเช่นกันว่า คุณแม่ส่วนใหญ่ก็ต้องการกลับเข้าระบบการทำงานจริง ๆ จัง ๆ เหมือนกัน
จากผลสำรวจของสหพันธ์สตรีแห่งประเทศจีนในปี 2023 พบว่า
คุณแม่ที่อยู่บ้านประมาณ 80% ต้องการกลับเข้าตลาดแรงงาน
คุณแม่ที่อยู่บ้านราว 40% สนใจงานประเภทพาร์ทไทม์และงานที่มีเวลาเลิกงานยืดหยุ่น
กลับมาที่คุณนายหวัง ที่เราเล่าว่าเธอถูกไล่ออกจากงานไปในช่วง ณ วันที่เผยแพร่บทความนี้ (15 สิงหาคม 2568) เธอก็ยังคงหางานอยู่ โดยเธอเล่ากับ The Economist ว่าจากเดิมที่ผู้หญิงถูกกีดกันในหน้าที่การงานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาสถานการณ์ตอนนี้ยิ่งถูกกดดันมากเข้าไปอีก และตอนนี้ก็มีแต่งานประเภทงานสำหรับคุณแม่ ที่ไม่ได้ถูกใจเธอนัก
คาดว่าคุณนายหวังคงจะต้องหางานไปอีกซักพัก
ไม่ก็เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เงินสำรองเริ่มหมด เธอก็คงต้องไปลงเอยกับงานทักษะต่ำ ที่จ่ายค่าแรงต่ำอย่างงานประเภทงานของคุณแม่
ที่มา: The Economist