สัญญาณดี! ต่างชาติหอบเงินลงทุนไทย ปั้นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีข่าวดี จากตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุนในปี 67 ที่ผ่านมามีมากถึง 1.13 ล้านล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดเท่าตัว แต่ในครึ่งปีแรกปีนี้ทำไปได้แล้วถึง 1 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมทั้งยังมีอุตสาหกรรมแห่งอนาคตอย่างยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี และแผงวงจร เป็นต้น ซึ่งไทยกำลังเป็นศูนย์กลางในอนาคต เนื่องจากมีการย้ายฐานการผลิตมาจากประเทศจีน
ทั้งนี้ เมื่อช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เป็นโอกาสของ ชินเดีย หรือ ไชน่า คือจีน และอินเดีย แต่ในตอนนี้จีนกำลังมีปัญหา และเจอกับการถอนเงินลงทุนออกจากจีน โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรง (เอฟดีไอ) ซึ่งล่าสุดมีการย้ายเงินลงทุนมายังประเทศไทย ทำให้ไทยเป็นความหวัง และมีความหวังอยากให้ดึงเข้ามาตลาดหุ้นไทยด้วย
ขณะที่ในอดีต ไทยจะต้องส่งออกไป 3 ประเทศ เรียกว่า จี3 คือ สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น แต่อีก 10 ปีข้างหน้า มี 4 ประเทศหลักของโลก คือ จีน สหรัฐ อินเดีย อาเซียน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาค ทำให้ในอนาคต ไทยจะกลายเป็นพื้นที่เบอร์หนึ่ง พร้อมลงทุน โดยไทยมีคู่แข่งคือเวียดนาม อินโดนีเซีย ส่วนมาเลเซียพื้นที่ทำเลไม่ดีเท่าไทย และต้นทุนแพงกว่าไทย โดยมั่นใจไทยกำลังจะสร้างเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง โลกเปลี่ยนไปและไทยอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตามเรื่องเร่งด่วนใน 1 ปีนี้ที่ควรทำ คือเรื่องปัญหาเมืองไทยทั้งหมดอยู่ที่ว่ากระบวนการปฏิบัติไม่ได้ ไทยมีเป้าหมาย มีแผนที่ดี แต่ไม่เคยทำสำเร็จ เพราะเลือกทำทุกอย่าง แตกต่างจากสิงคโปร์ เลือกทำทีละอย่างสองอย่างและประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นศูนย์กลางการท่า, ศูนย์กลางการเงิน, ศูนย์กลางชอปปิง
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ไทยเปลี่ยนจากประเทศเกษตรมาเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ จากกลุ่มเงินลงทุนในไทยของญี่ปุ่น มีแบรนด์ดังมากมายมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เป็นการเปลี่ยนประเทศไทยในสมัยนั้น และเงินลงทุนไหลมายังตลาดหุ้นไทยด้วย ซึ่งในเวลานี้และอนาคตจากนี้ ไทยกำลังจะเกิดและมีโอกาสอีกครั้ง เพราะไทยเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ และครั้งในอดีตไม่ได้มาจากตัวไทยเอง แต่มาจากญี่ปุ่น และไต้หวัน ทำให้ไทยหลังจากนี้ต้องสร้างอุตสาหกรรมใหม่ โดยยอมรับเกิดยากเพราะนักวิจัยและพัฒนาของไทยมีน้อย เมื่อเทียบกับต่างประเทศ
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าประเทศไทยไม่มีความสามารถในการสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ได้ ทำให้เศรษฐกิจ หรือจีดีพีไทยเติบโตเพียง 2-3% และเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าส่งผลมายังตัวตลาดหุ้นไทย ไม่มีตัวดึงดูดให้มาลงทุน ซึ่งไทยต้องมีกลุ่มหุ้นแห่งอนาคตมาดึงดูด
“ตอนนี้ไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนมาลงทุนคริปโตแทนหุ้น ทำให้ทั้งหมดคือปัญหาของตลาดหุ้นไทย ถ้าทำได้ อยากเห็นตลาดทุนไทยมีความหลากหลาย ตัวหุ้นไทยตอนนี้ 800 ตัวน่าเบื่อที่สุด น่าเบื่อทุกตัว ไม่มีตัวไหนขึ้น ขึ้นอย่างมีนัย ซึ่งหุ้นดั้งเดิมขึ้นน้อย แต่ตัวที่ไปได้ดี คือ หุ้นแห่งอนาคต อยากได้ตัวที่ดีเข้าตลาด ขณะที่ตลาดทุนไทยอยู่จุดนี้ เพราะไม่ได้มีเสน่ห์ ตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง ยิ่งนานวัน คนเริ่มหนีจากไทย”