ทิศทางทองคำยังโดดเด่นท่ามกลางมรสุม แม้มีประเด็นฉุดรั้งราคา

เดือนสิงหาคม 2025 เปิดฉากขึ้นพร้อมกับความไม่แน่นอนครั้งใหญ่ในตลาดโลก โดยเริ่มจากการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ (Non-Farm Payrolls) ของเดือนกรกฎาคม ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดการณ์ 106,000 ตำแหน่ง อีกทั้งยังมีการปรับตัวเลขในเดือนมิถุนายนและพฤษภาคม ลดลงไปรวมแล้วมากถึง 258,000 ตำแหน่ง ปัจจัยดังกล่าวทำให้ตลาดได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูลตัวเลขตลาดแรงงานที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ (BLS)

ในเวลาต่อมา โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐ ทำการสั่งปลด อริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ ผู้อำนวยการ BLS โดยอ้างเหตุผลว่ามีการปลอมแปลงตัวเลขนับตั้งแต่สมัย โจ ไบเดน อดีตปธน.สหรัฐ

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นจาก 3,290 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 3,363 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งนับปรับบวกในรายวันสูงถึง 73 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (+2.22%) และยังปรับตัวขึ้นต่อไปทำระดับสูงสุดในรายสัปดาห์ที่ระดับ 3,409 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และกลายเป็นระดับสูงสุดของเดือนสิงหาคม (จนถึง ณ วันที่ 25 สิงหาคม)

การขาดความเป็นอิสระขององค์กรของสหรัฐ ทำให้ทองคำกลับมาทำหน้าที่ Safe Haven Asset อย่างชัดเจน ในขณะที่ทรัมป์ยังกดดัน เจอโรม พาวเวล ปธ.เฟด ให้ลาออก รวมไปถึง ขู่ว่าเขาจะปลด ลิซา คุก ผู้ว่าเฟด หากไม่ยอมลาออก ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันเพื่อขยายอิทธิพลของเขาต่อเฟด อีกทั้งยังมีการลาออกของ เอเดรียนา คูเกลอร์ ผู้ว่าเฟด และแต่งตั้ง สตีเฟน มิแรน มาแทนตำแหน่งชั่วคราว

จนกระทั่งราคาทองคำเกิดความผันผวนที่สูงขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะทองคำฟิวเจอร์สในตลาด COMEX ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สวนทางกับราคา Gold Spot ซึ่งเป็นสินทรัพย์อ้างอิง หลังจากกรมศุลกากรสหรัฐฯ (CBP) ที่ระบุคำชี้แจงว่าการนำเข้าทองคำแท่งขนาด 100 ออนซ์และ 1 กิโลกรัม ถูกจัดอยู่ในรหัสสินค้าที่ต้องเสียภาษีศุลกากรให้สหรัฐ และการที่สวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหัวใจในห่วงโซ่อุปทานทองคำของโลก ถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงถึง 39% ทำให้ต้นทุนในการส่งทองคำเพื่อไปส่งมอบในตลาด COMEX นั้นเพิ่มสูงขึ้น

ความปั่นป่วนใน Supply Chain ทองคำโลก ทำให้ส่วนต่าง (Spread) ระหว่างราคา Gold COMEX และ Gold Spot กว้างขึ้นไปทะลุ 120 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากปกติที่ 50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี หลังจากที่ทรัมป์กล่าวว่าทองคำจะไม่ถูกเก็บภาษี ทำให้ Spread กลับมาปกติ และเกิดแรงขายในตลาด จนในวันที่ 11 สิงหาคม ราคาร่วงลง 55 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 3,342 ดอลลาร์ต่อออนซ์

หลังจากนั้น ราคาทองคำยังคงซึมตัวลงต่อในช่วงกลางเดือนสิงหาคม ในฐานะ Safe Haven Asset นับตั้งแต่ที่สหรัฐกับจีนได้เริ่มเจรจาทางการค้าถึงสองครั้งที่สวิตเซอร์แลนด์และสวีเดน จนสุดท้ายทรัมป์ได้ตัดสินใจเลื่อนการบังคับใช้ภาษีศุลกากรจากจีนออกไปอีก 90 วัน จนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน ประกอบกับ ความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ รัสเซีย-ยูเครน ค่อยๆ บรรเทาลง หลังจาก ทรัมป์เดินหน้าเจรจากับทั้งฝั่งวลาดิเมียร์ ปูติน ปธน.รัสเซีย และโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ปธน.ยูเครน ซึ่งมีทิศทางในเชิงบวก แม้ยังมีข้อพิพาทจากการที่รัสเซียต้องการดินแดน เช่น ดอนบาส เพื่อแลกกับการหยุดยิง ขณะที่ยูเครนต้องการหลักประกันความปลอดภัย จากสหรัฐ หรือ NATO

อย่างไรก็ดี รายงานการประชุม (FOMC Minutes) ระบุว่า ในการประชุมเฟดเดือนกรกฏาคม มีสองเสียงที่โหวตสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ย ได้แก่ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์, มิเชล โบว์แมน ซึ่งเป็นผู้ว่าการเฟด (Governor) ทั้งสองท่าน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นถูกเรียกว่า “Dovish Dissent” และตามสถิตินับตั้งแต่ปี 1987 เกิดเหตุการณ์ Dovish Dissent จาก Governor เพียงแค่ 14 ครั้ง (ไม่รวมช่วงวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น) ซึ่งทุกครั้งจะตามมาด้วยการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดลงถึง 0.50% ภายในสามเดือนข้างหน้า

ทั้งนี้ แม้ว่าดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) หนึ่งในมาตรวัดเงินเฟ้อ ในเดือนกรกฎาคม ได้พุ่งสู่ระดับ 0.9% สูงกว่าคาดการณ์ 0.2% จนเป็นปัจจัยกดดันทองคำอยู่ระยะหนึ่ง แต่ในการประชุม Jackson Hole นายเจอโรม พาวเวล ได้คลายความกังวลของตลาด โดยการกล่าวสุนทรพจน์ว่า “ภาษีศุลกากรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาเพียงครั้งเดียว” ขณะที่ยอมรับว่า “ความเสี่ยงของการจ้างงานกำลังเพิ่มขึ้น” อีกทั้ง ส่งสัญญาณพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยโดยกล่าวว่า “ดุลความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป อาจทำให้เฟดจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนนโยบาย" ดังนั้น สุนทรพจน์เชิงผ่อนคลาย (Dovish) จึงทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และหนุนโมเมนตัมทองคำให้กลับมามีแนวโม้มที่สดใสอีกครั้ง