ไทยเตือน! กัมพูชาละเมิดหยุดยิง ส่งโดรน-เสริมกำลังชายแดน พร้อมใช้สิทธิ "ป้องกันตนเอง" ตามมาตรา 51 UN
ไทยเตือน! กัมพูชาละเมิดหยุดยิง ส่งโดรน-เสริมกำลังชายแดน พร้อมใช้สิทธิ "ป้องกันตนเอง" ตามมาตรา 51 UN
เมื่อวันที่ 12 ส.ค.68 "วาสนา นาน่วม" ผู้สื่อข่าวอาวุโส และคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์สยามรัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Wassana Nanuam" ระบุว่า
ทุ่นระเบิด โดรน เพิ่มเติมกำลังทหาร-ยุทโธปกรณ์
ยั่วยุ กัมพูชา ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงทุกข้อ
ไทย เรามีสิทธิ์ ป้องกันตนเอง ป้องกันประเทศ ปกป้องประชาชน
ตาม มาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ UN Charter, Article 51 ชี้ สถานการณ์เช่นนี้ มีลักษณะเป็นภัยคุกคามใกล้เกิดขึ้น Imminent Threat
ไทยมีสิทธิ์ในการปกป้องตนเองได้
ทั้ง การสู้รบ ที่ผ่านมา
และหากต้องปกป้องประเทศ อีกครั้ง
แม้จะเป็นช่วงของการหยุดยิงและรอการเจรจาของระดับ RBC และ GBC แต่
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่ชายแดน และการกระทำของฝ่ายกัมพูชา ทำให้ฝ่ายความมั่นคงและกองทัพ กำลังพิจารณาถึงการตอบโต้เท่าที่จำเป็นและได้สัดส่วน
กรณีการปฏิบัติการเชิงป้องกัน (Preemptive Defensive Action) ต่อภัยคุกคามจากกัมพูชา
1.ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน (กัมพูชา) ที่มีพฤติกรรมดังต่อไปนี้
• ส่งอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เข้ามาในน่านฟ้าไทยหลายครั้ง เพื่อสอดแนมและเก็บข้อมูลทางทหาร
• เสริมกำลังทางทหารอย่างต่อเนื่องบริเวณแนวชายแดน
• เผยแพร่ข้อมูลและถ้อยคำยั่วยุที่ขัดต่อบรรยากาศสันติภาพ
• ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่จัดขึ้น ณ ประเทศมาเลเซีย
สถานการณ์ดังกล่าวนี้ มีลักษณะเป็นภัยคุกคามใกล้เกิดขึ้น (Imminent Threat) ที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของไทย
2. กรอบกฎหมายที่ใช้ : ประเทศไทยใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตาม มาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter, Article 51)
• ให้สิทธิรัฐใช้กำลังป้องกันตนเองเมื่อเกิดการโจมตีด้วยอาวุธ หรือมีภัยใกล้เกิดขึ้น
• การดำเนินการต้องมี ความจำเป็น (Necessity) และ ได้สัดส่วน (Proportionality)
• หลังการปฏิบัติ ไทย รายงานเหตุการณ์และเหตุผลต่อ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อความโปร่งใส
3. ลักษณะการปฏิบัติการ
• เป็น การโจมตีเชิงป้องกันแบบจำกัดขอบเขต (Limited Preemptive Strike)
• ใช้กำลังเท่าที่จำเป็น เพื่อทำลายขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตรงข้ามที่เป็นภัยคุกคามโดยตรง
• เลือกเป้าหมายที่เป็น โครงสร้างทางทหาร เท่านั้น
• หลีกเลี่ยงการโจมตีพื้นที่พลเรือนทุกกรณี
• ปฏิบัติการเป็นไปตาม กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL)
4. เพื่อ 1. ป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย
2. รักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ
3. ลดขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามในการเปิดฉากโจมตี
4. ส่งสัญญาณชัดเจนว่าประเทศไทยพร้อมปกป้องตนเอง แต่ไม่มุ่งรุกราน
5. การสื่อสารและความโปร่งใส
• ไทยมีหลักฐานยืนยันการละเมิดน่านฟ้าและการเสริมกำลัง (ภาพถ่ายดาวเทียม, ข้อมูลเรดาร์, ซากโดรน)
• เปิดโอกาสให้บุคคลที่สามและองค์กรระหว่างประเทศเข้าตรวจสอบ
• ประสานพันธมิตรและองค์การระหว่างประเทศให้รับทราบข้อเท็จจริง
• พร้อมให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนอย่างครบถ้วน เพื่อป้องกันข่าวลวงและการบิดเบือน
ดังนั้น 1. ประเทศไทยไม่ได้รุกราน แต่ใช้สิทธิตามมาตรา 51 เพื่อป้องกันตนเองจากภัยใกล้เกิดขึ้น
2. ปฏิบัติการมีความจำเป็นและได้สัดส่วน เพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามก่อนจะเกิดความเสียหายร้ายแรง
3. เคารพกฎหมายมนุษยธรรม หลีกเลี่ยงการกระทบต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ใช่ทางทหาร
4. พร้อมทำงานกับประชาคมโลก เพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาค
ดังนั้น หากถามว่า ไทยมีสิทธิตามกฎหมายในการโจมตีก่อนหรือไม่?
คำตอบ คือ มี ตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ในกรณีที่ภัยคุกคามใกล้เกิดขึ้นและหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้วจะถือว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นการรุกรานหรือไม่?
คำตอบ คือ ฃไม่ใช่ เป็นการปฏิบัติการเชิงป้องกันอย่างจำกัด เป้าหมายคือโครงสร้างทางทหารที่คุกคามไทย
โดยไทยเราได้ แจ้งต่อองค์การสหประชาชาติ แล้ว และไทยยินดีให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยบุคคลที่สาม
โดยไทย พร้อมกลับสู่การเจรจา เสมอเมื่อฝ่ายตรงข้ามหยุดการละเมิดและยอมเคารพข้อตกลงที่มีอยู่ !!
มาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ เข้ากับหลักการ Self-Defence และ Preemptive Strike รวมถึงเหตุผลว่าทำไมในกรณีของไทยกับกัมพูชา (สมมติฐานตามที่คุณให้ข้อมูล) จึงสามารถอธิบายความเหมาะสมเชิงกฎหมายและยุทธศาสตร์ได้
1. กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ: มาตรา 51 กฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter)
Nothing in the present Charter shall impair the inherent right of individual or collective self-defence if an armed attack occurs…
• ให้สิทธิรัฐใช้ Self-Defence เมื่อมีการ “armed attack” หรือการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้น
• การใช้กำลังต้อง จำกัดขอบเขต (Necessity & Proportionality) และรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)
• ปกติแล้ว Self-Defence จะเกิดหลังจากถูกโจมตีจริง (Reactive Self-Defence)
2. ช่องว่างกฎหมาย: Anticipatory / Preemptive Self-Defence
แม้ UN Charter ไม่พูดตรง ๆ เรื่องการโจมตีก่อน แต่มีการตีความและถกเถียงในกรณีที่:
• ภัยคุกคามกำลังจะเกิดขึ้นทันที (Imminent Threat)
• รัฐต้องใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเองก่อนที่จะถูกโจมตีจริง
• หลักนี้สืบเนื่องจากกรณี Caroline Affair (1837) ที่วางเกณฑ์ 2 ข้อ:
1. Necessity: ภัยคุกคามใกล้เข้ามาและหลีกเลี่ยงไม่ได้
2. Proportionality: การตอบโต้ต้องไม่เกินกว่าที่จำเป็นเพื่อสกัดภัย
Reactive Self-Defence โต้ตอบหลังถูกโจมตี ถูกยิงขีปนาวุธแล้วตอบโต้
Anticipatory Self-Defence โจมตีก่อนเมื่อภัยคุกคามใกล้ถึงตัว พบหลักฐานชัดว่าข้าศึก กำลังยิงขีปนาวุธในไม่กี่นาที
Preemptive Strike-โจมตีก่อนเพื่อลดศักยภาพข้าศึกก่อนเกิดภัย ทำลายฐานบิน/คลังอาวุธก่อนที่เขาจะใช้โจมตี
3. เชื่อมกับสถานการณ์ไทย–กัมพูชา
• กัมพูชาส่งโดรนเข้ามาในน่านฟ้าไทย (เป็น armed reconnaissance และละเมิดอธิปไตย)
• เติมกำลังตลอดเวลา ตามแนวชายแดน
• ปล่อยข่าวยั่วยุ และไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงในการประชุม GBC ที่มาเลเซีย
• ท่าทีชัดว่า เตรียมโจมตีหรือทำลายความมั่นคงของไทย
หากมองตามหลัก Preemptive Strike:
1. ภัยใกล้เกิดขึ้น (Imminence)
• การส่งโดรนเข้าสำรวจ + เสริมกำลัง คือการเตรียมความพร้อมโจมตี
• ไม่ใช่แค่ข่มขู่ แต่มีการ “ดำเนินการทางทหาร” บนผืนฟ้าไทยแล้ว
2. ความจำเป็น (Necessity)
• ถ้าปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามเสริมกำลังต่อ จะเสียเปรียบเชิงยุทธวิธี
• การรอให้เขาเปิดฉากโจมตี อาจทำให้สูญเสียทั้งกำลังพลและพื้นที่ยุทธศาสตร์
3. ความได้สัดส่วน (Proportionality)
• การโจมตีจำกัดขอบเขต เช่น ทำลายฐานปล่อยโดรน, คลังอาวุธ, จุดรวมกำลัง
• ไม่โจมตีพื้นที่พลเรือน
• แสดงเจตนาชัดว่าเป็น defensive action ไม่ใช่ war of aggression
แต่เป็น ดำเนินการตามมาตรา 51 เพื่อป้องกันตนเองจากภัยใกล้เกิดขึ้น
• แจ้ง UNSC และพันธมิตรทันทีหลังปฏิบัติการ
ข้อมูล: หน่วยความมั่นคง
#CambodiaOpenedFire #cambodiaviolatestheottawaconvention #TruthFromThailand #UnbeatableAirForce #RTA