ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5ส.ค. “แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5ส.ค.2568 ที่ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นมีกำลังมากกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
พร้อมกับกดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยง Two-Way risk (พร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง แข็งค่าต่อ หรือ พลิกกลับมาอ่อนค่าลง) ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
โดยเรามองว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจยังไม่ได้เลวร้ายมากนัก อย่างที่ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดสะท้อนออกมา และเรามองว่า การจ้างงานที่แย่ลงในช่วงหลายเดือนก่อนนั้น ก็อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จนทำให้ภาคธุรกิจชะลอการจ้างงานลง เพื่อรอความชัดเจน
ซึ่งล่าสุด ทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็มีความชัดเจนมากขึ้น หลังสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า ทำให้เรามองว่า ภาคธุรกิจสหรัฐฯ อาจเริ่มกลับมาจ้างงานมากขึ้นในระยะข้างหน้าได้
ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะทยอยเห็นชัดในรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และ PCE ในระยะข้างหน้า ทำให้ เราคงมองว่า เฟด อาจยังไม่รีบลดดอกเบี้ยลงอย่างที่ตลาดคาดหวังได้
(แต่ยอมรับว่า ความเสี่ยงเฟดลดดอกเบี้ยเร็วและมากกว่าคาด ก็เพิ่มสูงขึ้น) ซึ่งเราจะรอติดตามข้อมูลตลาดแรงงาน อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะรับรู้ รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เพิ่มเติม
โดยหากเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ซึ่งต้องติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และงานสัมนาประจำปีของเฟด ที่เมือง Jackson Hole รัฐ Wyoming ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม
อีกทั้ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใส และรายงานอัตราเงินเฟ้อก็สูงขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะกลับมาหนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้ กดดันราคาทองคำและเงินบาท
นอกจากนี้ เรามองว่า แม้เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า หลังราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด โดยเฉพาะหากบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On)
โดยหากประเมินจากความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำ เรามองว่า หากราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 3,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แล้วไม่ผ่าน เงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นราว 15-20 สตางค์ และอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.48 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น 3,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสถึง 98% ที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และมีโอกาสราว 52% ที่จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ สอดคล้องกับ ถ้อยแถลงล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Mary Daly (San Francisco Fed) ที่ระบุว่า เฟดอาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย “มากกว่า 2 ครั้ง” ในปีนี้
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ จากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.95% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.47%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.90% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังรายงานผลประกอบการของกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ออกมาสดใส นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบิน-ทหาร ก็ยังคงช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรป
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 4.19% หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด
ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk โดยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายได้ โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-98.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มั่นใจมากขึ้น ว่าเฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยที่หนุนการปรับตัวขึ้นของ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) โดยล่าสุด ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 3,430-3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้ หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 52% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ (ทุกการประชุม FOMC ที่เหลือของปีนี้)
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนี S&P PMI ภาคการบริการของจีน (เดิม คือ Caixin PMI) ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวแข็งค่าไปใกล้ ๆ แนว 32.30 โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบประมาณ 32.32-32.34 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.57 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ขาดปัจจัยใหม่ ๆ มาหนุนเนื่องจากยังคงมีประเด็นกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลกระทบจาก Tariffs และยังคงเผชิญแรงกดดันจากการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนก.ย. หลังจากที่ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาน่าผิดหวัง นอกจากนี้ Sentiment ของสกุลเงินเอเชียยังได้รับอานิสงส์บางส่วนจากเงินเยนที่ขยับแข็งค่าขึ้น หลังบันทึกการประชุม BOJ สะท้อนโอกาสที่อาจจะมีการกลับมาปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้งก่อนสิ้นปี
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.20-32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึง ดัชนี PMI และ ISM ภาคบริการเดือนก.ค. ของสหรัฐฯ