‘คิงเพาเวอร์’ รีเซตธุรกิจ ลั่น 2 ปีขึ้นผู้นำในเกมใหม่
ท่ามกลางการชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนของประเทศไทยหลังจากวิกฤตโควิด ทำให้โครงสร้างนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยเปลี่ยน จากนักท่องเที่ยวจีนที่เคยเดินทางเข้ามาถึง 11 ล้านคนในปี 2562 ลดลงมาเหลือ 6.7 ล้านคนในปี 2567 และยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเหลือ 4-5 ล้านคน ในปี 2568
การลดลงอย่างต่อเนื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงพฤติกรรมการเดินทางที่เปลี่ยนไปนี้มีผลโดยตรงต่อธุรกิจ “ดิวตี้ฟรี” ของกลุ่มคิงเพาเวอร์ เนื่องจากเป็นกลุ่มกำลังซื้อหลักถึงราว 70% ขณะที่คนไทยราว 15-10% ส่วนอีก 5-10% เป็นชาติอื่นๆ
นี่คือ เหตุผลที่ “คิง เพาเวอร์” ต้องปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ พร้อมทั้งเสริมทัพผู้บริหารใหม่ เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ New Era และก้าวทันโลกยุคดิจิทัล
รีเซตธุรกิจครั้งใหญ่
“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “นิตินัย ศิริสมรรถการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท คิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ถึงทิศทางของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ผู้บริหารร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free) ภายใต้ชื่อ KING POWER ธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยวที่ดำเนินงานมา 36 ปี หลังจากที่ล่าสุดได้ประกาศปิดดิวตี้ฟรีดาวน์ทาวน์ 3 สาขาคือ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ศรีวารี, คิง เพาเวอร์ มหานคร และคิง เพาเวอร์ พัทยา
“นิตินัย” บอกว่า ปัจจุบันธุรกิจดิวตี้ฟรีของกลุ่มคิง เพาเวอร์ มี 2 โมเดล คือ ดิวตี้ฟรีในสนามบิน (Airport Duty Free) และดิวตี้ฟรีในเมือง (Downtown Duty Free) วันนี้กลุ่มคิง เพาเวอร์ กลับมาทบทวนว่าธุรกิจไหนเป็น Business Cycle มีขึ้น-มีลงตามวงจรของธุรกิจ และธุรกิจไหนลงแล้วจะไม่กลับมาเหมือนเดิม ส่วนนี้เราเรียกว่า ดิสรัปชั่น (Disruption)
ธุรกิจที่เป็น Business Cycle กลุ่มนี้เวลาขาลงก็จะลงไม่นาน เดี๋ยวก็ฟื้นกลับมา เราสามารถอัดทรัพยากรไปรอทำธุรกิจในช่วงที่เป็นขาขึ้นได้ ส่วนธุรกิจที่เป็นดิสรัปชั่นจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจใหม่ไปเลย
“นิตินัย” บอกว่า สิ่งที่ “คิง เพาเวอร์” กำลังทำอยู่ในขณะนี้คือการปรับโครงสร้างดำเนินธุรกิจครั้งใหญ่ โดยประเมินว่าธุรกิจตรงไหนที่เราต้อง Reset หรือตรงไหนที่ต้อง Resume กล่าวคือ ตรงไหนที่ต้องรีเซตเราจะ Reject ตัวเองออกมา แล้วเปลี่ยนโมเดลการดำเนินธุรกิจใหม่
ส่วนไหนที่คิดว่ายังสามารถ Resume ได้ เราก็จะดำเนินการต่อไป ส่วนจะรีซูมกลับมาแล้วจะเหมือนเดิมหรือไม่ อย่างไรก็ว่ากันไป
“ต่อให้เป็นดิวตี้ฟรีเหมือนกัน เราก็ต้องแยกว่าตัวไหนรีเซต ตัวไหนรีซูม เพราะเรามีโมเดลและโลเกชั่นที่แตกต่างกัน”
Captive Demand คือ จุดเปลี่ยน
“นิตินัย” ให้ข้อมูลว่า การปิดดาวน์ทาวน์ดิวตี้ฟรี 3 แห่ง คือ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ศรีวารี, คิง เพาเวอร์ มหานคร และคิง เพาเวอร์ พัทยา ในสิ้นเดือนกันยายน 2568 ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น เป็นการ “รีเซตธุรกิจ” เพราะการท่องเที่ยวของไทยในยุคก่อน นิยมเดินทางมาเป็น “กรุ๊ปทัวร์” บริหารจัดการและสร้างดีมานด์จากกรุ๊ปทัวร์ หรือที่เราเรียกว่า Captive Demand มีบริษัททัวร์บริหารดีมานด์ให้ ลูกค้านั่งรถบัส รถโค้ช เข้ามาเป็นกลุ่มขนาดใหญ่
แต่สถานการณ์ในวันนี้ นักท่องเที่ยวมีพฤติกรรมเดินทางด้วยตัวเอง เสิร์ช Google มาเอง ซึ่งตลาดนี้เราประเมินแล้วว่าแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะกลับมาเหมือนเดิมแทบจะไม่มีแล้ว
“ในอดีตที่ผ่านมา ทั้ง 3 สาขาที่เราประกาศปิด มีลูกค้าเข้ามาจับจ่ายหลักหมื่นคนต่อวัน แต่ตอนนี้ลดลงเหลือแค่หลักร้อยคนต่อวันเท่านั้น”
ขณะที่ 3 สาขาดาวน์ทาวน์ที่เหลือ คือ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ, คิง เพาเวร์ ซิตี้ บูทีค (One Bangkok) และคิง เพาเวอร์ ภูเก็ต วันนี้เรามองว่าธุรกิจยังสามารถบริหารจัดการต่อได้
ข้อสรุป AOT กำหนดอนาคต
สำหรับดิวตี้ฟรีในสนามบิน หรือ Airport Duty Free ใน 5 สนามบินหลัก คือ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, ภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่ (สงขลา) นั้น “นิตินัย” บอกว่า กลุ่มคิง เพาเวอร์ ได้ยื่นหนังสือขอยกเลิกสัญญากับบริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT) ไปตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ขณะนี้ยังต้องรอข้อสรุปจาก AOT ว่าจะสรุปอย่างไร ซึ่งตามที่กระบวนการ AOT ขอเวลาพิจารณา 60 วัน แต่เราคาดว่าความชัดเจนน่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
“การที่คิง เพาเวอร์ ส่งหนังสือขอให้ AOT พิจารณายกเลิกสัญญานั้นเป็นสัญญาณชัดเจนว่า เราพร้อมจะรีเซตธุรกิจและถอนตัวออกจากสนามบินเช่นกัน เพราะแอร์พอร์ตดิวตี้ฟรีถือเป็นแผลใหญ่ที่เลือดไหลมากที่สุด ดังนั้น ระหว่างนี้เราจำเป็นต้องไล่เย็บแผลเล็ก ๆ เพื่อบรรเทาอาการเลือดไหลไปพลาง ๆ ก่อน”
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้กลุ่มคิง เพาเวอร์ ก็เตรียมแผนรองรับไว้แล้วเช่นกัน กล่าวคือหาก AOT ยกเลิกสัญญา คิง เพาเวอร์ก็พร้อมถอนตัวออกมาทันที หรือหาก AOT เจรจาในเงื่อนไขใหม่ที่ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ ก็ต้องมาดูว่าเราจะ Resume ธุรกิจกลับมาอย่างไรต่อไป
เล็งหาธุรกิจใหม่เสริม
ต่อคำถามว่า หลังจากนี้ธุรกิจของกลุ่มคิง เพาเวอร์ จะไปในทิศทางไหน “นิตินัย” บอกอธิบายว่า โจทย์แรกที่รับมาจากคุณต็อบ (อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา) ประธานกลุ่มคิง เพาเวอร์ ตอนเข้ามารับหน้าที่ CEO เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คือ การบริหารจัดการกระแสเงินสด (Cash Flow) เพราะทุกวันนี้รายจ่ายมากกว่ารายรับ ตัวเลขติดลบมากพอสมควร
ดังนั้น ประเด็นแรกที่ต้องดู คือ “รายจ่าย” และรายจ่ายหลักของคิง เพาเวอร์ คือ ค่าสัมปทานที่ต้องจ่าย AOT เมื่อได้คำตอบจาก AOT เราจะสามารถตัดสินใจอนาคตและทิศทางของกลุ่มคิง เพาเวอร์ ได้ว่าจะมูฟอย่างไร
อย่างไรก็ตาม มองว่า “ดิวตี้ฟรี” จะยังคงเป็นจุดแข็งหลักของกลุ่มคิง เพาเวอร์ ต่อไป เพียงแต่วิวัฒนาการจะเปลี่ยนไป และต้องหาธุรกิจใหม่ที่เป็น Captive Market เข้ามาเสริม เพื่อเป็นแม็กเนตในการสร้าง Captive Demand รูปแบบใหม่ส่วนโมเดลธุรกิจจะเป็นอย่างไรนั้น ขอเวลาอีกสัก 4-5 เดือน
“ธุรกิจใหม่อาจเป็นสวนสนุกเพื่อรองรับกลุ่มครอบครัว หรือเป็นเวลเนส ร้านอาหาร ฯลฯ ก็ได้ ซึ่งเบื้องต้นเราจะรักษาดิวตี้ฟรี ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมไว้สัก 60% หาธุรกิจใหม่มาเสริมสัก 40% และถ้า 40% ยังเอาไม่ไหว เราจะเพิ่มให้เป็น 80% เหลือดิวตี้ฟรีไว้แค่ 20% ก็ว่ากันไปตามดีมานด์ตลาด อันนี้คือผมสมมุติยังไม่ใช่เรื่องจริง แต่หลักการจะเป็นประมาณนี้ครับ”
ลั่นอีก 2 ปีขึ้นผู้นำเกมส์ใหม่
“นิตินัย” ย้ำอีกว่า ที่ผ่านมาทุกคนถูกดิสรัปต์หมด เห็นชัดเจนจากในช่วงโควิดที่มีธุรกิจใหม่เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Grab, Lalamove, Lazada, Shopee ฯลฯ ส่วนที่ปรับตัวจากดิสรัปต์ได้เร็วคือ กลุ่มที่บริหารจัดการได้ด้วยตัวเอง เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า พอไม่มีลูกค้าเช่า เขาก็ปรับพื้นที่มาเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ เป็นต้น
ต่างจากธุรกิจของคิง เพาเวอร์ ที่การฟื้นตัวมันเกี่ยวเนื่องกับภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งมีซัพพลายไซด์อื่น ๆ ที่เป็นห่วงโซ่อุปทานเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของสายการบิน พฤติกรรมนักท่องเที่ยว โครงสร้างตลาดนักท่องเที่ยว ฯลฯ ทั้งหมดล้วนส่งผลต่อการฟื้นตัวของเราทั้งสิ้น
“คนที่อยู่รอดได้ คือ คนที่ปรับตัวได้เมื่อดิสรัปต์มาถึง คนที่ปรับตัวไม่ได้ก็ปิดตัวไป ซึ่งคิง เพาเวอร์ เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ไม่สามารถปรับตัวได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ เพราะนอกจากองคาพยพต่าง ๆ แล้ว เรายังมีเรื่องเงื่อนไขของสัญญาสัมปทานที่ผูดมัดเอาไว้ ทำให้ไม่มีความยืดหยุ่นและไม่สามารถปรับตัวได้”
พร้อมบอกด้วยว่า ตัวอย่างที่ดีที่สุดของการปรับตัว คือ ปตท. ที่เดิมทำธุรกิจน้ำมัน แล้วขยายฐานมาทำ OR และร้านกาแฟอเมซอน ซึ่งตอนขยายแรก ๆ ก็ยังผูกอยู่กับปั๊มน้ำมัน ปตท. แต่วันนี้อเมซอนสามารถอยู่แบบสแตนด์อะโลนได้
แน่นอนในอนาคต โมเดลของ “กลุ่มคิง เพาเวอร์” ก็จะค่อย ๆ ไดรเวอร์สิฟาย (diversify) หรือขายธุรกิจออกไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งเบื้องต้นยังต้องมี “ดิวตี้ฟรี” อยู่ แต่ในอนาคตซึ่งเราต้องเข้าสู่ New Era นั้น เราต้องเพิ่มธุรกิจให้มีความหลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยงและไม่กลับไปเป็น ดิวตี้ฟรี 100% เหมือนเดิม
และย้ำทิ้งท้ายว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า หน้าตาของ “คิง เพาเวอร์” จะไม่เหมือนเดิมแน่นอน คิง เพาเวอร์ จะไม่ใช่แค่ดิวตี้ฟรีอีกต่อไป ที่สำคัญ จะไม่ทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำกัน และจะเป็นคนแรกที่เล่นในเกมใหม่แน่นอน
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘คิงเพาเวอร์’ รีเซตธุรกิจ ลั่น 2 ปีขึ้นผู้นำในเกมใหม่
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net