นายกฯ ชี้ปมปะทะชายแดนมาจากเสียประโยชน์คอลเซนเตอร์ไม่ใช่ศึก 2 ตระกูล
นายกฯ แจงชนวนปะทะชายแดนเพราะไทยกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำกัมพูชาเสียประโยชน์ ไม่ใช่ศึก 2 ตระกูล ย้ำการกระทำกัมพูชาละเมิดหลักมนุษยธรรม-กฎหมายระหว่างประเทศ รัฐบาลสู้ไม่ถอยพร้อมปกป้องอธิปไตย วอนคนไทยสามัคคีกันในชาติ
วันนี้ (26 ก.ค. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดย ปฏิเสธกระแสข่าวว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งส่วนตัวหรือศึกระหว่างสองตระกูล และชี้ว่า ชนวนเหตุที่แท้จริงมาจากความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกจากหน่วยงานความมั่นคง พบว่าเบื้องหลังเหตุการณ์ปะทะดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้พื้นที่ชายแดนเป็นฐานปฏิบัติการ ซึ่งผลประโยชน์มหาศาลจากธุรกิจเหล่านี้ได้นำไปสู่ความขัดแย้งจนเกิดความรุนแรงขึ้น
"นี่ไม่ใช่เรื่องการเมืองท้องถิ่น หรือศึกสองตระกูลอย่างที่บางคนพยายามจะปั่นกระแส" นายกรัฐมนตรีกล่าว "แต่เป็นเรื่องของกลุ่มผลประโยชน์นอกกฎหมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเรากำลังเดินหน้ากวาดล้างอย่างเด็ดขาด"
น.ส.แพทองธารย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมไซเบอร์อย่างจริงจังมาโดยตลอด และเหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนและครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อกวาดล้างแหล่งกบดาน การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อ
"รัฐบาลจะไม่ยอมให้ผู้กระทำผิดลอยนวล และจะใช้ทุกมาตรการที่มีเพื่อคืนความสงบสุขและความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดน รวมถึงจัดการกับต้นตอของปัญหาที่แท้จริงอย่างเด็ดขาด" น.ส.แพทองธารกล่าว
และได้ยืนยันตามแถลงการณ์ของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ซึ่งรักษาราชการแทนนายกฯ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ระบุว่าการกระทำของกัมพูชาถือเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง ซึ่งขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดต่อหลักมนุษยธรรมที่ประเทศไทยปฏิบัติมาโดยตลอด
นายกฯ เน้นย้ำว่า รัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดสถานการณ์ความรุนแรง และให้ความสำคัญสูงสุดกับชีวิตประชาชน พยายามอย่างที่สุดไม่ให้เกิดการเสียเลือดเนื้อ โดยชี้ว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ยิงก่อนเมื่อวันที่ 24 ก.ค. พร้อมตั้งข้อสังเกตจากหลักฐานที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียว่าในวันที่เกิดเหตุ นักเรียนในโรงเรียนจังหวัดชายแดนของไทยยังไปเรียนปกติ ซึ่งบ่งชี้ว่าไทยไม่ทราบล่วงหน้าถึงการยิงดังกล่าว
แม้จะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ในช่วงเกิดเหตุ น.ส.แพทองธารระบุว่าได้รับฟังการอัปเดตสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเป็นห่วง โดยได้สอบถามสถานการณ์กับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ซึ่งยืนยันว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ของไทยมีพร้อม การที่ไทยใช้ F-16 ถือเป็นการตอบโต้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชายิงเข้าสู่แหล่งชุมชนที่มีประชาชนอาศัยอยู่ ทำให้เกิดผลกระทบต่อชีวิต "รัฐบาล กองทัพ และฝ่ายความมั่นคง จะประสานงานอย่างต่อเนื่องและดูแลเรื่องนี้อย่างรอบคอบทุกขั้นตอน"
"แน่นอนว่าเราจะพยายามถึงที่สุดในการปกป้องอธิปไตยของเรา เพราะเราไม่เคยเริ่มก่อน เรายืนยันเสมอตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาว่าเราไม่ต้องการความรุนแรง แต่เมื่อความรุนแรงมาถึงเราก็สู้ไม่ถอยเช่นกัน นี่คือสิ่งที่รัฐบาล กองทัพ คุยกันและเน้นย้ำว่าไม่ต้องห่วง เราไม่ถอยจะสู้เต็มที่" นายกฯ กล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้แสดงหลักฐานความไม่ชอบธรรมของกัมพูชา รวมถึงการละเมิดสนธิสัญญา หลักกฎหมายระหว่างประเทศ หลักสิทธิมนุษยชน และความไร้มนุษยธรรมอย่างร้ายแรง อาทิ การลักลอบวางระเบิดใหม่ ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ หลังจากที่เคยร่วมกันลาดตระเวนค้นหาระเบิดเก่าไปแล้ว "ไม่มีประเทศไหนเขาทำกันแบบนี้" ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานครบถ้วน และกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งให้ทั่วโลกรับทราบ ซึ่งสื่อในหลายประเทศต่างเชื่อในสิ่งที่ไทยพูด เพราะไทยยืนยันในจุดยืนมาตลอดว่าไม่ต้องการความรุนแรง และพิสูจน์ได้ว่าความรุนแรงครั้งนี้กัมพูชาเป็นผู้เริ่ม 100%
จากสถานการณ์นี้ น.ส.แพทองธารสนับสนุนให้คนไทยมีความสามัคคีกันในชาติ "วันนี้เราทะเลาะกันในประเทศถึงระดับหนึ่ง แต่วันนี้เราต้องรักกันและทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน" โดยย้ำว่าหากสถานการณ์สงบสุข ความขัดแย้งภายในประเทศยังรอได้ แต่เรื่องความมั่นคงรอไม่ได้ ทุกคนต้องร่วมมือกันจากทุกฝ่ายและทุกภาคส่วนให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
นายกฯ ยังกล่าวถึงคำครหาที่พยายามเชื่อมโยงว่าการปะทะเกิดจากความขัดแย้งระหว่างสองตระกูล โดยย้อนถามถึงการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจังที่ตนสั่งการผ่านกระทรวงมหาดไทยให้ตัดน้ำตัดไฟตั้งแต่ชายแดนลาวกับเมียนมา ซึ่งได้ผลจริง ทำให้คอลเซ็นเตอร์ที่โทรหาประชาชนลดลงอย่างเห็นได้ชัดและลดมูลค่าความเสียหายได้มาก
น.ส.แพทองธารเปิดเผยว่า ไทย ลาว และเมียนมาได้ทำภาคีร่วมกันเพื่อปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง แต่กัมพูชาแสดงความไม่พอใจที่ไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับตนเป็นการส่วนตัว ซึ่งตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นการเสียผลประโยชน์หรือไม่ "เพราะตนไม่เคยทราบเลยว่าจะมีประเทศใดไม่พอใจ เมื่อประชาชนถูกหลอกและเอารัฐบาลมาช่วย ก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ" จึงทำให้รู้สึกว่าอาจไปขัดผลประโยชน์บางอย่าง ซึ่งตนมั่นใจว่ารัฐบาลที่เข้ามา ไม่ว่าจะใช้ตระกูลชินวัตรหรือไม่ ก็ต้องปราบปรามเรื่องนี้เพราะเป็นผลกระทบต่อคนไทย