คลังอัด3มาตรการช่วยปชช.พื้นที่ชายแดน
คลัง เดินหน้าอัด 3 มาตรการ ระดับพื้นที่-ภาษี-การเงิน ช่วยประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา จัดเงินทดรองจ่าย 100 ล้านบาททุกจังหวัด พร้อมดูแลผู้อพยพ 1.6 แสนคน
เมื่อวันที่ 29 ก.ค.68 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงมาตรการช่วยเหลือประชาชน และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย กัมพูชาได้สั่งการในเรื่องการเพิ่มวงเงิน การเบิกจ่ายเงินทดลองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็น 100 ล้านบาททันที และหากมีมาตรการใดที่ต้องซื้อจัดจ้างเป็นกรณีพิเศษให้ดำเนินการได้ทันที ส่วนมาตรการเยียวยาได้มีการเตรียมการไว้แล้ว ซึ่งมีการประเมินผู้ได้รับผลกระทบที่ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนประมาณ 1.6 แสนคน โดยจะมาพิจารณาว่าจะเยียวยาวอย่างไร โดยเฉพาะเพราะช่วงที่ไม่ทำงานรายได้หายไป ส่วนทรัพย์สินที่อยู่อาศัยได้เตรียมวงเงินไว้แล้วจะดำเนินการอย่างไร
นายพิชัยกล่าวต่อว่า มาตาการการช่วยเหลือประชาชน จะแบ่งเป็น 3 ส่วนได้แก่ มาตรการในระดับพื้นที่ มาตรการด้านภาษีและมาตรการของสถาบันการเงินของรัฐ
นายพิชัย กล่าวว่า1.มาตรการในระดับพื้นที่ โดยการขยายวงเงินทดรองราชการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดละ 100 ล้านบาทและพร้อมพิจารณาขยายเพิ่มหากไม่เพียงพอ เพื่อให้จังหวัดสามารถบริหารจัดการได้อย่างคล่องตัว และตอบโจทย์ความต้องการในพื้นที่ อำนวยความสะดวกในการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจด้านความมั่นคง ให้สามารถดำเนินการได้อย่างเร่งด่วน ผ่านวิธีเฉพาะเจาะจง รวมทั้ง เตรียมมาตรการด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนผ่านธนาคารของรัฐ เช่น ธ.ก.ส. โดยจะให้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องแก่เกษตรกร รวมถึงสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) สำหรับผู้ได้รับความเสียหาย
นายพิชัย กล่าวต่อว่า 2.มาตรการด้านภาษี โดยเลื่อนเวลาการยื่นแบบและการชำระภาษี ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ จากเดิมระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม 31 สิงหาคม 2568 เป็นภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 นอกจากนี้ ประชาชนสามารถหักลดหย่อนค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยจากเหตุการณ์ความเสียหายได้ตามจริงไม่เกิน 100,000 บาท และสำหรับยานพาหนะไม่เกิน 30,000 บาท
นายพิชัย กล่าวว่าและ 3.มาตรการจากสถาบันการเงินของรัฐ แบ่งเป็น 3.1 ธนาคารออมสิน พักชำระเงินต้นให้กับลูกหนี้ที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบจนถึงงวดเดือนธันวาคม 2568 และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยบางส่วน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไม่ต้องมีหลักประกัน วงเงิน 20,000 บาท/ราย ผ่อนชำระ 12 เดือน ดอกเบี้ย 0.60%/เดือน สินเชื่อเพื่ออาชีพ ผ่อนชำระ 60 เดือน ดอกเบี้ย 0.75%/เดือน สินเชื่อ SMEs ลูกค้าเดิมไม่เกิน 5 ล้านบาท รายใหม่ไม่เกิน 3 ล้านบาท ผ่อนชำระ 7 ปี ดอกเบี้ยปีแรก MLR -2.65%, ปีถัดไป MLR ยกเว้นค่าธรรมเนียม Front End Fee และ Prepayment Fee
3.2 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรร์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สินเชื่อฉุกเฉิน วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท/ราย ดอกเบี้ย MRR (6.725%) ผ่อน 3 ปี ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือน สินเชื่อฟื้นฟูชีวิตและทรัพย์สิน วงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ดอกเบี้ย MRR - 2% ต่อปี ผ่อนสูงสุด 15 ปี 3.3 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ เช่น ลดดอกเบี้ยเหลือ 0.01% นาน 5 ปี โดยผู้ที่บ้านเสียหายทั้งหลัง หรือทุพพลภาพ/เสียชีวิต ได้สิทธิอัตราดอกเบี้ย 0.01% ตลอดอายุสัญญา กรณีกู้สร้างบ้านใหม่ ดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก เดือนที่ 712 = 0.50% ต่อปี
3.4 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME D Bank) โดยพักชำระเงินต้น ลดค่างวด ขยายเวลาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เช่น ปลุกพลัง SME และ Beyond ติดปีก SME ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ผ่อน 10 ปี สินเชื่อรีไฟแนนซ์ SMEs เริ่มต้นที่ 2.99% , 3.5 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) โดยขยายเวลาชำระหนี้ 365 วัน ลดดอกเบี้ยสูงสุด 20% และเพิ่มวงเงินชั่วคราว 1 ปี สูงสุด 30 ล้านบาท และมาตรการเสริม เช่น เงินทุนหมุนเวียนเพื่อออกงาน, Safe Trade, Export Credit Insurance ฯลฯ 3.6 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (IBank) โดยการพักชำระเงินต้นและกำไรสูงสุด 6 เดือน ขยายได้อีก 6 เดือน สินเชื่อเพื่อซ่อมบ้าน เริ่มต้น 1.99% ต่อปี วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท สินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจ เริ่มต้น 3.25% วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท 3.7 บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โครงการ PGS11 SMEs ยั่งยืน ค้ำประกันรายละ 0.510 ล้านบาท สูงสุด 7 ปี ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ปีแรกโครงการ SMEs Micro Biz ค้ำประกัน 10,000500,000 บาท ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ปีแรกเช่นกัน เปิดรับคำขอจนถึง 30 ธันวาคม 2568
-----------------------