วิกฤตชายแดน 2568 คนไทยได้คำตอบแล้ว ว่า ‘เกณฑ์ทหาร’ ยัง ‘จำเป็น’ หรือไม่?
เมื่อสถานการณ์ชายแดน
กลายเป็นเครื่องทดสอบอนาคตของกองทัพไทย
ในขณะที่สังคมไทยกำลังหันกลับมาทบทวนระบบการเกณฑ์ทหารว่า “ยังจำเป็นอยู่หรือไม่” สำหรับโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 21 เหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ก็กลับทำให้คำถามนี้ดูมีมิติมากกว่าที่เคยเป็น
ภายหลังจากเกิดเหตุปะทะในหลายจุดสำคัญ อาทิ ปราสาทตาเมือนธม ช่องอานม้า และสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่พิพาททางประวัติศาสตร์ระหว่างสองประเทศ ทหารไทยได้ถูกระดมกำลังเข้าสู่แนวหน้าในทันที โดยเฉพาะกองกำลังราบเบาและหน่วยสนับสนุนต่าง ๆ ที่ต้องรับมือกับทั้งการโจมตีด้วยอาวุธหนักจากฝั่งกัมพูชา และภารกิจในการอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงภัย
ในช่วงเวลาเดียวกัน กองทัพไทยยังต้องทำหน้าที่เป็นตัวหลักในการเจรจาเพื่อยุติความรุนแรง ทั้งในระดับทหารภาคสนาม และระดับนโยบายร่วมกับคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า บทบาทของทหารไทยในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในสนามรบอีกต่อไป หากแต่ต้องทำหน้าที่หลายด้านในเวลาเดียวกัน ทั้งการป้องกันประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อย และการเป็นตัวแทนทางการทูตอย่างไม่เป็นทางการ
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่ากำลังพลที่ถูกส่งลงพื้นที่ชายแดนส่วนใหญ่ล้วนต้องการทักษะที่เฉพาะทางมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ภาคสนาม การสื่อสารในภาวะวิกฤต ความเข้าใจในมิติทางวัฒนธรรม และการประเมินความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ ทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งที่ “ไม่ได้ฝึกได้ภายในไม่กี่เดือน” และในหลายกรณีก็ไม่ได้อยู่ในหลักสูตรของการฝึกทหารเกณฑ์ทั่ว ๆ ไป
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนระบบจากการเกณฑ์ทหารแบบบังคับมาเป็นระบบสมัครใจเริ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะจากกลุ่มนักศึกษา นักวิชาการ หรือแม้แต่บางฝ่ายภายในกองทัพเองที่มองว่าการมีทหารอาชีพที่ผ่านการคัดเลือกและฝึกฝนมาอย่างเข้มข้น อาจเป็นทางเลือกที่สอดรับกับรูปแบบภัยคุกคามยุคใหม่ได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ผู้สนับสนุนระบบเกณฑ์ทหารยังคงให้เหตุผลว่าการมี “กำลังสำรอง” เป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สถานการณ์ความมั่นคงเปราะบาง เช่นในกรณีชายแดนไทย–กัมพูชา อีกทั้งยังมีมุมมองที่เชื่อว่าการเกณฑ์ทหารมีส่วนช่วยสร้างระเบียบวินัย ความอดทน และความรักชาติในหมู่เยาวชน
เมื่อมองให้ลึกลงไป การถกเถียงระหว่าง “จำเป็นหรือไม่จำเป็น” จึงไม่อาจสรุปได้ด้วยคำตอบใดคำตอบหนึ่งอย่างง่ายดาย เพราะในขณะที่ระบบเกณฑ์อาจยังให้ความมั่นคงเชิงปริมาณ แต่ระบบสมัครใจอาจให้คุณภาพเชิงลึกที่ตอบโจทย์มากกว่าในบริบทสงครามยุคใหม่
ในท้ายที่สุด คำถามอาจไม่ใช่เพียงแค่ “เราควรเกณฑ์ทหารต่อไปหรือไม่”
แต่ควรเปลี่ยนเป็น “เราจะทำให้ระบบการปกป้องประเทศนี้ มีประสิทธิภาพและยั่งยืนได้อย่างไร”
เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่จำนวนคนที่เข้ามาอยู่ในค่ายฝึก แต่คือจำนวนคนที่พร้อมจะรับผิดชอบชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง — และไม่ว่าจะเรียกพวกเขาว่า “ทหารเกณฑ์” หรือ “ทหารอาสา” หากยังคงมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการยืนอยู่แนวหน้าเพื่อความมั่นคงของประเทศ ระบบแบบไหนก็คงไม่มีใครปฏิเสธ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ไทยย้ำจุดยืนเวทีโลก ปกป้องชายแดนตามกฎหมายสากล
- กองทัพอากาศไทยประกาศศักดาทดสอบอาวุธเลเซอร์พลังงานสูง (DEW) ทำลายเป้าหมายโดรนสำเร็จ
- องค์กรสื่อไทยร่วมต้านข้อกล่าวหา CCJ ระงับสัมพันธ์ชั่วคราว
- ไทยเสนอเปลี่ยนสถานที่ประชุม GBC ไปมาเลเซีย หวังลดความตึงเครียด
- ทบ.ยอมรับยึดปราสาทตาควายไม่ได้ แต่ควบคุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ได้มากกว่าเดิม