“ไสยศาสตร์เขมร” ที่ใช้ทำร้ายผู้อื่น เรียกว่า “มนต์ดำ”
ไสยศาสตร์เขมร เป็นไสยศาสตร์สำนักหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความขลัง ว่ามีอำนาจทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ตามที่ต้องการ วัฒนธรรมความเชื่อนี้ปรากฏข้อมูลหลักฐานตั้งแต่เมื่อใด
ไสยศาสตร์เขมร
คำว่า “ไสย” ในคำว่า “ไสยศาสตร์” นั้น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2554 ของไทย อธิบายว่า “ลัทธิอันเนื่องด้วยเวทมนตร์คาถาซึ่งเชื่อว่าได้มาจากพราหมณ์ เช่น ถูกคุณถูกไสย”
ส่วน พจนานุกรมเขมร ฉบับพุทธศาสนบัณฑิตย์ อธิบายดังนี้ไสย (บาลี เสยฺย ; สันสกฤต เศรฺยสฺ) ประเสริฐวิเศษ : คัมภีร์ไสย, ตำราไสย คัมภีร์หรือตำราอันประเสริฐวิเศษ (คำเขมรโบราณที่นับถือลัทธิพราหมณ์ เรียกยกย่องลัทธินี้ว่าประเสริฐวิเศษ ; เขมรสมัยปัจจุบันก็ยังเชื่อว่า ไสย เป็นคัมภีร์หรือตำราพราหมณ์ แต่เชื่อว่าไม่ประเสริฐ เพราะเห็นว่า ลัทธิพุทธ ประเสริฐกว่า) ถ้าเรียงนำหน้าคำอื่นอ่านว่า ไส-ยะ เช่น ไสยมนตร์, ไสยเวท, ไสยศาสตร์, ไสยศาศน์, มนต์, วิชา, คัมภีร์, คำสอนอันเป็นลัทธิพราหมณ์หรือเป็นลัทธิอื่นนอกลัทธิพุทธ (ตามความเชื่อของเขมรสมัยปัจจุบัน) ฯลฯ
ไสยศาสตร์ของไทย เขมร รวมถึงลาว มีรูปแบบและลักษณะคล้ายคลึงกัน พบว่า คาถา, อาคม ของทั้ง 3 ชาติ ส่วนใหญ่เป็นภาษาบาลีร่วมกับภาษาของชาตินั้นๆ ไม่ค่อยพบการใช้ภาษาสันสกฤต ยกเว้นคำว่า “โอม” ที่มักใช้เริ่มต้นคาถา
การเรียนไสยศาสตร์ของเขมร มีข้อกำหนดว่า ควรเริ่มเรียนวันอังคารหรือวันเสาร์ จะสำเร็จสมหวังจำมนต์คาถาแม่นตลอดไป และมีข้อห้ามสำหรับผู้เรียนว่า “วันขึ้นและแรม 7 ค่ำ ห้ามกินมะพร้าว วันขึ้นและแรม 12 ค่ำ ห้ามกินเผือก วันขึ้นและแรม 3 ค่ำ ห้ามกินผักที่เป็นใบไม้ในป่า วันขึ้นและแรม 9 ค่ำ ห้ามกินน้ำเต้า มิฉะนั้นคาถาจะเสื่อม”
การใช้ไสยศาสตร์
ไม่ปรากฏว่ามีจารึกที่กล่าวถึงการใช้ไสยศาสตร์ในสมัยเขมรโบราณโดยตรง แต่ก็มีการกล่าวถึงอยู่ เช่น จารึกสดกกกธม K. 235 กล่าวถึง พราหมณ์หิรัณยทามะ ประกอบพิธีเทวราชเป็นครั้งแรก สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1345-1393) ว่า ปฺราชฺญ สิทฺธฺวิทยา แปลว่า “ผู้เป็นนักปราชญ์ ผู้มีฤทธิ์อำนาจ” และยังเป็นผู้ประกอบพิธีในการ “ประกาศอิสรภาพเขมร” ไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจของชวา
สมัยต่อมา เขมรเริ่มมีการใช้ไสยศาสตร์อย่างชัดเจนขึ้น ดังปรากฏอยู่ในวรรณคดีต่างๆ เช่น มรณมาตา, สังข์ศิลปชัย, สัพพสิทธิ, กากี ฯลฯ มีการกล่าวถึงคาถา อาคม และเวทมนตร์ต่างๆ ทั้งมีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
คนเขมรใช้ไสยศาสตร์ใน 3 ประการ ด้วยกันคือ รักษา, ป้องกันภัย และการทำลาย
เพื่อการรักษาโรค ในกรณีที่เป็นการเจ็บจาก “เชื้อโรค” จนร่างกายเจ็บปวด หรือทำงานผิดปกติ ก็ใช้มนต์หรือคาถาควบคู่กับการใช้สมุนไพรต่างๆ แต่ถ้าเป็นโรคที่เกิดจากผู้ไม่หวังดีกระทำ หรือเกิดภูติผี ทำให้ร่างกายหรือจิตใจเจ็บป่วย, ผิดเพี้ยนไป ฯลฯ หมออาคมที่รักษาจะเอาวันเดือนปีเกิดตรวจดูชะตาก่อน จึงจะสรุปว่าจะใช้คาถา หรือสมุนไพรใดประกอบการรักษา
เพื่อการป้องกันภัย จากมนุษย์, ภูตผี ฯลฯ ก็จะใช้คาถาอาคม ส่วนการใช้มีตั้งแต่ท่องคาถาอาคมนั้น, เขียนคาถาอาคมลงบนผิวหนัง (สักยันต์) หรือบนสิ่งของ เช่น เสื้อผ้า (เสื้อยันต์, ผ้ายันต์) วัตถุต่างๆ (ตะกรุด) ฯลฯ เพื่อคุ้มครองให้ปลอดภัย แคล้วคลาด
เพื่อการทำลาย เป็นการใช้ไสยศาสตร์ในการทำ “เรื่องชั่วร้าย” ที่บ้างเรียก “มนต์ดำ” ต่างจาก 2 ข้อที่กล่าวไป การทำลายอาจเกิดจากผู้มีอาคมใช้มันเล่นงานผู้อื่นด้วยการปล่อยของต่างๆ เช่น วัวธนู, เสกกรรไกรเงินกรรไกรทองเข้าท้อง, เสกหนังวัวควายเข้าท้อง ฯลฯ หรือถูกอาคมของตนเองย้อนใส่
อนึ่ง ไสยศาสตร์เขมร แม้จะมีขึ้นชื่อว่าขลัง แต่ถ้าใช้ทำร้ายผู้อื่น ก็อาจย้อนกลับใส่ตัวเอง
อ่านเพิ่มเติม :
- “ไสยศาสตร์” เดิมคำนี้หมายถึง “ศาสนาพราหมณ์” ?
- “นะหน้าทอง” มนต์มหาเสน่ห์ คาถาหวงของครูอาจารย์ ใครอยากได้ต้องบวชเรียน
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
กังวล คัชชิมา. “ไสยศาสตร์เขมรเบื้องต้น : ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจ” ใน, วารสารดำรงวิชาการ ปีที่ 3 ฉบับที่ 5 (มกราคม-มิถุนายน) 2547.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 31 กรกฎาคม 2568
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “ไสยศาสตร์เขมร” ที่ใช้ทำร้ายผู้อื่น เรียกว่า “มนต์ดำ”
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com