ภาษีทรัมป์ 50% กระทบ 'อินเดีย' แค่ไหน ทำไมโมดียอมหัก เพราะน้ำมันรัสเซีย
นายกรัฐมนตรีอินเดียนเรนทรา โมดี นับเป็นผู้นำประเทศคนแรกๆ ที่เดินทางไปเยือนสหรัฐแทบจะทันทีหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งสมัยที่สองเมื่อวันที่ 20 ม.ค.68 ในครั้งนั้นการพูดคุยกันที่ทำเนียบขาวเป็นไปอย่างราบรื่นดีมาก ทรัมป์ถึงกับบอกว่าการร่วมมือกันระหว่างสหรัฐกับอินเดียจะนำไปสู่ "MIGA" (Make India Great Again) เหมือนกับ MAGA ในสหรัฐ
แต่ในวันนี้ สถานการณ์กำลังเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีอินเดียเป็น 50% ซึ่งเป็น "บทลงโทษ" ที่รุนแรงที่สุดคู่กันมากับบราซิล เพื่อลงโทษที่นิวเดลียังเดินหน้าซื้อน้ำมันจากรัสเซียต่อ โดยทรัมป์บอกว่า "เศรษฐกิจอินเดียตายแล้ว"
ในมุมมองทางเศรษฐกิจนั้น นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์กำลังมุ่งโฟกัสกันว่า ทำไมอินเดียถึง "ยอมแลก" กับน้ำมันรัสเซีย และเมื่อเกมเปลี่ยนไปทวีความรุนแรงขึ้นจากภาษีที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 50% เช่นนี้ เศรษฐกิจอินเดียจะถูกกระทบหนักแค่ไหน และสุดท้ายจะทำให้โมดีต้องยอมแพ้ให้กับสหรัฐในช่วงการเจรจา 21 วันที่เหลือก่อนภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ หรือไม่
UBS มองบวกเพราะเซ็กเตอร์สำคัญถูกยกเว้น
CNBC รายงานว่าเศรษฐกิจอินเดียอาจได้รับผลกระทบหลายพันล้านดอลลาร์จากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอินเดียเป็น 50% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราภาษีที่สูงที่สุดสำหรับประเทศคู่ค้าของสหรัฐ แต่เมื่อพิจารณาในเชิงตัวเลขจริงๆ แล้วอาจไม่สาหัสอย่างที่คิด และอาจเป็นการกดดันเชิงสัญลักษณ์มากกว่า
แม้ว่าอินเดียจะมีการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐประมาณ 20% ของการส่งออกทั้งหมด หรือราว 2% ของจีดีพีประเทศ แต่ก็ไม่ใช่ทุกเซ็กเตอร์ที่จะได้รับผลกระทบเพราะมีการการยกเว้นภาษีให้สินค้าในบางกลุ่มสำคัญ เช่น ยา, เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งบางรายการคาดว่าจะไปเจอภาษีรายเซ็กเตอร์แยกต่างหากของสหรัฐ
UBS ประเมินว่ามีกลุ่มสินค้าส่งออกที่เจอความเสี่ยงสูงสุดเพียงประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์ เช่น กลุ่มอัญมณี และเครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย สิ่งทอ และเคมีภัณฑ์
"การขึ้นภาษีล่าสุดทบเพิ่มอีก 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากอินเดีย อาจเป็นเรื่องเชิงสัญลักษณ์มากกว่าสารัตถะสำคัญ" ไบรอัน จาค็อบเซน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Annex Wealth Management กล่าว "ภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ในอีก 21 วันข้างหน้า ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องค่อนข้างนานทีเดียวไปสู่การเปลี่ยนแปลง(เจรจา)"
ทั้งนี้ อัตราภาษี 25% ที่ทรัมป์ประกาศกับอินเดียไปก่อนหน้านี้ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 ส.ค.68 เหมือนทุกประเทศ แต่ภาษีที่จะทบเพิ่มอีกเท่าตัวรวมเป็น 50% ซึ่งประกาศไปเมื่อคืนวันพุธ จะมีผลบังคับใช้ในอีก 21 วัน
บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าภาษีนำเข้าที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ (25%) น่าจะส่งผลกระทบเพียง "เล็กน้อย" ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย เนื่องจากอินเดียมีการกระจายสมดุลการค้าหลากหลายทั่วโลก เพียงแต่อาจมีบางเซ็กเตอร์ที่เสี่ยงต่อการค้ากับสหรัฐมากกว่าภาคส่วนอื่นๆ
"ในแง่ของภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ เราคิดว่าอุตสาหกรรมอัญมณี และเครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย สิ่งทอ และเคมีภัณฑ์อื่นๆ มีความเสี่ยงต่อภาษีนำเข้าของสหรัฐมากกว่า และอาจได้รับมาตรการช่วยเหลือแบบเฉพาะเจาะจงจากรัฐบาล” ทันวี คปตา เจน นักเศรษฐศาสตร์จาก UBS ระบุในบันทึก
ในส่วนของ "ตลาดหุ้น" นั้นคาดว่าอาจจะไม่ถูกกระทบหนักอย่างที่บางฝ่ายกังวล ตามข้อมูลของทีมนักกลยุทธ์หุ้นธนาคารโซซิเอเต เจเนราล ดัชนี Nifty 50 ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงของตลาดหุ้นอินเดีย "มีความเสี่ยงโดยตรงจากสหรัฐประมาณ 9% ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มบริการภาคไอที” แต่บริการภาคไอทีไม่ได้ถูกหมายหัวขึ้นภาษีจากสหรัฐในปัจจุบัน
"ผลกระทบของภาษีศุลกากรที่มีต่อหุ้นอินเดียนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากค่าเงินรูปีที่อ่อนค่าลงและความผันผวนของสกุลเงินที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศในระยะสั้น” ราจัต อาการ์วัล จากโซซิเอเต เจเนราล ระบุถึงผลกระทบภาษี 25% ก่อนที่ทำเนียบขาวจะออกประกาศล่าสุด
ทำไมอินเดียยอมหักเพื่อน้ำมันรัสเซีย
CNN ระบุว่าอินเดียพึ่งพาน้ำมันดิบจากรัสเซียมาอย่างยาวนานเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน แซงหน้า "จีน" ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกไปแล้ว
ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแห่งนี้เป็น"ผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก" และด้วยอัตราการบริโภคของอินเดียที่ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว คาดการณ์ว่าอินเดียจะแซงหน้าจีนขึ้นเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ภายในปี 2573 ตามรายงานของรอยเตอร์ส
การเปลี่ยนแปลงของอินเดียสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ "ยกระดับชีวิต" ครัวเรือนหลายล้านครัวเรือน ซึ่งส่งผลให้มีการซื้อรถยนต์ และรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเบนซินเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ปัจจุบัน "น้ำมันดิบของรัสเซีย" คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 36% ของการนำเข้าทั้งหมดของอินเดีย ทำให้รัสเซียกลายเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ ตามที่บริษัทข้อมูลด้านการค้า Kpler อ้างอิงตัวเลขในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้
ไม่ซื้อจากรัสเซียได้ไหม
หลังจากที่รัสเซียบุกยูเครนในปี 2022 ประเทศในยุโรปส่วนใหญ่ก็หยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ทำให้ปัจจุบันน้ำมันไหลรัสเซียเข้ามาขายในเอเชียเป็นหลัก ในราคาที่น่าดึงดูดใจ โดยมี "จีน อินเดีย และตุรกี" เป็นลูกค้ารายใหญ่ และถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของมอสโก
อมิตาภ ซิงห์ รองศาสตราจารย์ประจำศูนย์รัสเซียและเอเชียกลางศึกษา มหาวิทยาลัยยาวาฮาร์ลาล เนห์รู (JNU) กล่าวว่า"อินเดียกำลังซื้อน้ำมันจากรัสเซีย 'ในราคาลดพิเศษ' แบบที่ซัพพลายเออร์น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติแบบดั้งเดิมคงให้ไม่ได้" และเสริมว่า การซื้ออย่างต่อเนื่องของอินเดียเป็นการตัดสินใจทางเศรษฐกิจหรือเชิงพาณิชย์ล้วนๆ ซึ่งทางการอินเดียก็เคยบอกเหตุผลนี้ไปแล้ว แต่ได้ถูกเย้ยหยันและโกรธเกรี้ยวจากยูเครนและมิตรประเทศที่ผู้สนับสนุน
แม้ว่าอินเดียจะกระจายแหล่งน้ำมันและก๊าซมาหลายปีแล้ว แต่การตัดน้ำมันจากรัสเซียออกไปทั้งหมดจะทำให้เกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่ยากจะหาใครทดแทน
มู่หยู ซู่ นักวิเคราะห์น้ำมันอาวุโสจาก Kpler กล่าวว่า อินเดียนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศถึง 80% ของความต้องการ และการผลิตน้ำมันภายในประเทศยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยส่วนต่างนั้น กลุ่มประเทศ OPEC อาจมีกำลังการผลิตสำรองอยู่บ้าง แต่การขอให้พวกเขาสูบน้ำมัน 3.4 ล้านบาร์เรลในชั่วข้ามคืนเป็นเรื่องยาก
นักวิเคราะห์หวั่นเสียเปรียบประเทศคู่แข่ง 30-35%
อย่างไรก็ดี ยังมีนักวิเคราะห์อีกจำนวนไม่น้อยที่กังวลต่อเรื่องนี้ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงมุมที่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศมาถึงจุดที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 25 ปี และเมื่อมองจากสองประเทศเขตเศรษฐกิจอันดับ 1 และอันดับ 4 ของโลก ซึ่งมีมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงถึงกว่า 1.9 แสนล้านดอลลาร์
Reuters รายงานว่าบรรดาผู้ส่งออกและนักวิเคราะห์การค้าต่างออกโรงเตือนว่า ภาษีศุลกากรซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ และกระตุ้นการผลิตภายในประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของอินเดียอย่างรุนแรง
เอส.ซี. ราลฮาน ประธานสหพันธ์องค์กรส่งออกของอินเดียกล่าวว่า เกือบ 55% ของสินค้าที่อินเดียส่งออกไปยังสหรัฐจะได้รับผลกระทบ ขณะที่มาธาวี อโรรา นักเศรษฐศาสตร์จาก Emkay Global กล่าวว่า การเพิ่มภาษีศุลกากรจะทำให้ผู้ส่งออกของอินเดียเสียเปรียบคู่แข่งทางการค้าอย่าง "เวียดนาม บังกลาเทศ และญี่ปุ่น" ประมาณ 30-35%
"การค้าระหว่างสองประเทศแทบจะตายลงได้เลย เพราะอัตราภาษีที่น่ารังเกียจเช่นนี้"” อโรรา กล่าว
รัฐบาลอินเดียมองยังมีโอกาสเจรจา
เจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดียเองยอมรับว่ามีแรงกดดันให้กลับไปเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งการ "ลดการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย" และ "การกระจายความเสี่ยง" อาจเป็นส่วนหนึ่งของการประนีประนอมนี้
"เรายังมีช่องทางอยู่" เจ้าหน้าที่อาวุโสของอินเดียรายหนึ่งกล่าว "ความจริงที่ว่าภาษีศุลกากรใหม่จะมีผลบังคับใช้ภายใน 21 วัน ส่งสัญญาณว่าทำเนียบขาวเปิดกว้างสำหรับการเจรจา"
ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกรายหนึ่งกล่าวว่า นายกฯ โมดีหรือผู้นำระดับสูงในรัฐบาลยังไม่มีแผนการเดินทางเยือนวอชิงตันในทันที และไม่มีการพิจารณามาตรการตอบโต้ใดๆ ในขณะนี้ โดยรัฐบาลกำลังพิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกมากกว่า ซึ่งรวมถึงการอุดหนุนดอกเบี้ยและการค้ำประกันเงินกู้
ด้านธนาคาร HDFC Bank ประเมินว่าอัตราภาษีล่าสุดอาจฉุดการส่งออกของอินเดียไปสหรัฐอย่างรุนแรง และอาจทำให้ GDP ของอินเดียในปีนี้ดิ่งลงแรงโตได้ไม่ถึง 6% จากเดิมซึ่งคาดเอาไว้ที่ 6.5% ในปีนี้
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์