หมูสหรัฐฯ บุกไทยไม่ง่าย โบรกชี้ CPF–TFG–BTG รับอานิสงส์ต้นทุนวัตถุดิบลด
จากประเด็นเรื่องการเปิดตลาด นำเข้าหมูสหรัฐฯ เข้ามาตีตลาดในประเทศ ทำให้เกิดความกังวลใจว่าอาจส่งผลกระทบทั้งห่วงโซ่อุปทานหมูไทย โดยเฉพาะผู้เลี้ยง-ผลิตเนื้อหมูในประเทศ รวมถึงมูลค่าตลาดเนื้อหมูที่อาจสูญเสียไปกว่า 1 แสนล้านบาท
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองต่อหุ้น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ว่า การนำเข้าสุกรจากสหรัฐฯ ยังต้องมีมาตรการอีกหลายด้านกว่าจะนำเข้ามาได้ ทั้งการตรวจโรงงาน หรือการแก้ข้อห้ามในการใช้สารเร่งเนื้อแดงของกฎหมายไทย คาดว่าจะใช้เวลามากกว่า 1 ปีจึงจะเริ่มเห็นการนำเข้ามา
นำเข้าหมูสหรัฐฯ ยังต้องผ่านหลายด่าน
ส่วนการเปิดให้นำเข้ากากถั่วเหลืองและข้าวโพดจากสหรัฐฯ มองว่าเป็นปัจจัยบวกเพราะจะช่วยลดต้นทุนลงได้ ทำให้คาดว่าระดับความสามารถในการทำกำไรจะยังอยู่ในระดับสูงได้ต่อเนื่อง ทางฝ่ายจึงมีการปรับกำไรทั้งปีขึ้นจากเดิม 39% มาอยู่ที่ 31,989 ล้านบาท
แนวโน้มในช่วงไตรมาส 3/68 คาดถูกกระทบจากราคาสุกรที่อ่อนตัวลง ส่วนหนึ่งเป็นผลตามฤดูกาลและผลจากการที่โรงเชือดมีกำลังการผลิตลดลงหลังแรงงานกัมพูชาหายไป ซึ่งมองว่าประเด็นดังกล่าวจะเริ่มคลี่คลายในช่วงปลายปีหลังจากเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ถูกชดเชยจากต้นทุนที่ลดลงต่อเนื่องทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลือง
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุมุมมองต่อหุ้น CPF ว่า จากกรณีผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าเนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ นั้น ทางผู้บริหารเชื่อว่าสามารถบริหารจัดการได้ ซึ่งจากการเจาจากับสหรัฐ ไทยได้ตกลงที่จะนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐไม่เกิน 1 หมื่นตัน (ไม่เกิน 1% ของการบริโภคเนื้อหมูในประเทศ)
ขณะเดียวกันรัฐบาลกำลังเจรจาเพิ่มเติมในรายละเอียดเงื่อนไขนำเข้าหมู เช่น การไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งผิดกฎหมายไทย ต้องตรวจสอบฟาร์มเลี้ยงหมูในสหรัฐฯ ที่อาจใช้เวลานานถึง 1 ปี แต่ขณะเดียวกันมีโอกาสที่จะนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ในราคาที่ต่ำลง
แนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งหลังปี 68 คาดว่าจะอ่อนลงจากครึ่งแรกปี แต่ยังเติบโตดีกว่าเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยจากราคาเนื้อหมูในประเทศลดลง ราคาหมูในเวียดนามและจีนอ่อนลงจากไตรมาส 2/68 แต่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ (ข้าวโพด กากถั่วเหลือง) ก็ยังอ่อนลง
ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี กำไรหลักในช่วงครึ่งหลังปี 68 จะเติบโตได้ดีกว่าเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ในอัตราที่ลดลง
บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ผลกระทบจาก CPF มาตรการภาษีนำเข้าเนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ นั้น ดว่าผลกระทบโดยตรงค่อนข้างต่ำ เนื่องจากธุรกิจของ CPF ในประเทศต่างๆ เป็นการขายภายในแต่ละประเทศเป็นหลัก มีการส่งออกค่อนข้างน้อย
และหากมีการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ มายังประเทศต่างๆ ที่ CPF มีธุรกิจอยู่ อาทิ ไทย กัมพูชา เวียดนาม ฯลฯ คาดว่าส่งผลกระทบไม่มาก เนื่องจากประชาชนในแต่ละประเทศส่วนใหญ่ยังคงนิยมในการบริโภคเนื้อหมูสดอยู่
ในทางกลับกันอาจเห็นปัจจัยบวกต่อต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้ หากมีการนำเข้าข้าวโพดที่เป็นอาหารสัตว์จากสหรัฐฯ ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าข้าวโพดในประเทศ
ราคาหมูไทยในช่วงกลางเดือน ส.ค. ลงมาอยู่ที่ราว 72 - 73 บาท/กิโลกรัม (กก.) ซึ่งต้องติดตามดูว่าภายหลังผ่านฤดูฝนและหากมีการฟื้นตัวของการบริโภคตามฤดูกาลแล้ว จะทำให้ราคาฟื้นตัวได้หรือไม่ แต่ในเบื้องต้นเราคาดว่าจะเห็นกำไรไตรมาส 3/68 อ่อนตัวลงมาบ้าง แม้ว่าต้นทุนกากถั่วเหลืองยังปรับตัวลงต่อช่วยลดผลกระทบด้านราคาขายบ้างก็ตาม
อุปสงค์ที่ชะลอ กดดันราคาหมู
บล.เคจีไอ ระบุมุมมองต่อหุ้น BTG ว่า การนำเข้าเนื้อหมูและวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ยังไม่ชัดเจนและน่าจะใช้เวลาพอสมควร อย่างไรก็ดี คาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์ด้านต้นทุนต่ำลงเพียง 1 - 2% จากราคาวัตถุดิบที่ลดลง
สำหรับในช่วงครึ่งหลังปี 68 มองว่าราคาหมูในประเทศจะลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี ตามอุปสงค์ที่ชะลอลงและต้นทุนวัตถุดิบลดลง โดยราคาหมูปัจจุบันอยู่ที่ 75 - 78 บาท/กก. เทียบกับราคาหมูในครึ่งปีแรกที่ 82 - 83 บาท/กก.
ทางด้านการส่งออกไก่น่าจะยังคงมีโมเมนตัมดีต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังปี 68 เนื่องจากลูกค้าหลักในสหราชอาณาจักรและยุโรปยังคงมีอุปสงค์แข็งแกร่ง การที่ราคาหมูลดลง ทำให้ GPM ในช่วงครึ่งปีหลัง ก็น่าจะลดลงอยู่ที่ 17 - 18% (ลดจาก 18.7% ในครึ่งแรกปีนี้)
ลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง หนุนมาร์จิ้น
บล.ทิสโก้ เปิดมุมมองต่อหุ้น TFG ว่า จากข้อตกลงการค้าการนำเข้าเนื้อสุกรจากสหรัฐฯ มองว่าไม่น่าเป็นที่กังวลนัก เนื่องจากไทยมีมาตรฐานสูงและไม่อนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดง ทำให้คาดว่าอาจต้องมีการเจรจาเงื่อนไขกันอีกระยะหนึ่ง
ส่วนวัตถุดิบอาหารสัตว์ถือเป็นโอกาสสำคัญ หากมีการลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง (2%) และลดอุปสรรคภาษีสำหรับข้าวโพด จะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมาก
ด้านโครงสร้างตลาดและการขยายกำลังการผลิตสุกรนั้น จากการที่ผู้เล่นรายใหญ่ในไทย (12 ราย) มีการลงนาม MOU ที่จะไม่ขยายกำลังการผลิตแม่พันธุ์ ซึ่งจะช่วยควบคุมอุปทานในระยะยาว โดยตลาดเปลี่ยนไปจากเดิมที่เน้นขายหมูมีชีวิต มาเป็นการเชือดและแปรรูปเองมากขึ้น
ทำให้ผู้เล่นรายย่อยที่ไม่มีโรงเชือดลดบทบาทลง สำหรับ TFG จะเพิ่มปริมาณสุกรจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการสวิทช์จากการขายลูกหมูมาเลี้ยงเอง ซ฿งมำให้มองว่าจะสามารถรักษาอุปสงค์และอุปทานในตลาดได้
ส่วนผลกระทบจากแรงงานกัมพูชาที่กลับประเทศนั้น TFG มีน้อยมากและเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจาก TFG มีสัดส่วนแรงงานกัมพูชาเพียง 10% และสามารถทดแทนด้วยแรงงานจากชาติอื่นได้ ประเด็นหุ้นวอแรนต์ค้ำประกันของผู้บริหารกำลังทยอยลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะลดลงไปเรื่อยๆ