แก๊งไต้หวันส่งสมาชิกไปฝึกทหารอาชีพที่กัมพูชา เพื่อสร้างทีมมือสังหารชั้นยอด
สื่อของไต้หวันรายงานว่า เทื่อวันที่ 18 สิงหาคม สำนักงานอัยการเขตซินไถเป่ย ร่วมกับสำนักงานสอบสวนคดีอาญา และตำรวจนครซินไถเป่ย ได้เริ่มปฏิบัติการจับกุมครั้งใหญ่ต่อ 'สันนิบาตเทียนต้าว' (天道盟) และกลุ่มพันธมิตร 'สันนิบาตไท่หยาง' (太陽聯盟) โดยนำตัวผู้ต้องหาเกือบ 20 คน รวมถึง เจิ้งอิ๋งฟู่ (曾盈富) ผู้นำสันนิบาตเทียนต้าว ฉายา "ทรราชย์เหล็ก" (鐵霸) โดยคนเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์และอาชญากรรมที่เป็นระบบ และยังฟอกเงินผ่านการเข้าซื้อกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา พวกเขาฟอกเงินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน
'สันนิบาตเทียนต้าว' เป็นหนึ่งในสามองค์กรใต้ดินที่สำคัญในไต้หวัน และยังเป็นพันธมิตรหัวหน้าแก๊งท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวันอีกด้วย โดยสันนิบาตเทียนต้าวมีอำนาจมากและมีเครือข่ายทางภูมิศาสตร์ที่แข็งแกร่ง พัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากไต้หวันแล้ว สันนิบาตเทียนเต้ายังมีกิจกรรมในต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีนแผ่นดินใหญ่ ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสามแก๊งใหญ่ของไต้หวัน ร่วมกับสหภาพไม้ไผ่และแก๊งสี่สมุทร คาดการณ์ว่ามีสมาชิกแก๊งที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่หลายพันคนและพันธมิตรหลายหมื่นคนในไต้หวัน
มีรายงานว่า อู๋ถงถาน (吳桐潭) ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งสันนิบาตเทียนต้าวผู้ล่วงลับ ได้คัดเลือกสมาชิกสิบคนและส่งพวกเขาไปยังกัมพูชาเพื่อฝึกฝนการทหารอาชีพ เขาตั้งใจที่จะสร้างทีมนักฆ่าชั้นยอดโดยเฉพาะเพื่อต่อต้านสมาคมซินไท่หยาง (新太陽會) และปกป้องกลุ่มแกนนำของอู๋ถงถาน
เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2544 อู๋ถงถานมีจุดประสงค์เพื่อรวมกลุ่มของตน จึงคัดลือกสมาชิกชั้นยอดจำนวนดังกล่าวจากสันนิบาตฯ และส่งพวกเขาไปยังกัมพูชาเพื่อฝึกฝนการทหารอาชีพ พวกเขาได้รับการฝึกฝนให้เป็นนักฆ่ามืออาชีพ อู๋ถงถานได้มอบเหรียญเงินที่มีคำว่า "เสือ" (虎) เขียนอยู่ ซึ่งเรียกว่า "ตราเสือ" (虎牌) ให้แก่นักฆ่ามืออาชีพเหล่านี้ ซึ่งแสดงถึงสถานะของพวกเขาในโลกใต้ดิน และพวกเขาถูกเรียกว่า "นักฆ่าตราเสือ" (虎牌殺手) โดยคนภายนอก
เจิ้งอิ๋งฟู่ หัวหน้ากลุ่มสันนิบาตเทียนต้าวคนปัจจุบัน และเป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดของแก๊งนี้ แต่ก่อนหน้านี้ เขาและเจิ้งอิ๋งจิ้น (曾盈進) น้องชายเจ้าของฉายาไท่เป่า ได้รับเลือกจากอู๋ถงถาน ให้เข้ารับการฝึกทหารในกัมพูชา จนได้รับการยกย่องว่าเป็น "เสือรุ่นแรก" เจิ้งอิ๋งฟู่ เป็นหัวหน้ากลุ่มนักฆ่าชั้นยอดกลุ่มนี้ และยังทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมป้องกันของสันนิบาตฯ
ต่อมาเจิ้งอิ๋งฟู่ขึ้นเป็นผู้นำพร้อมกับเจิ้งอิ๋งจิ้นน้องชายของเขา และสมาชิกคนสำคัญคนอื่นๆ ก่อตั้ง "ห้าพยัคฆ์" ขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพขององค์กร ในปี พ.ศ. 2543 เจิ้งอิ๋งฟู่ได้จัดตั้ง "ทีมป้องกัน" ขึ้น ซึ่งรับผิดชอบการจัดการ "นักฆ่าตราเสือ" นำสมาชิกหลักรักษาความสงบเรียบร้อยและต่อสู้กับกลุ่มคู่แข่ง ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2545 ได้มีการจัดตั้ง "เสือรุ่นที่สอง" และ "เสือรุ่นที่สาม" ขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสมาชิกนักฆ่าอย่างน้อย 22 คน
ระหว่างปี พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2545 มีคดีฆาตกรรมหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับสมาคมซินไท่หยางศัตรูของสันนิบาตเทียนต้าวและสันนิบาตไท่หยาง โดยมีผู้เสียชีวิต 9 ราย รวมถึงประธานสมาคม เหยียนตางลี่ (閻當利) ในขณะนั้น มีข่าวลืออย่างกว้างขวางว่าคดีฆาตกรรมเหล่านี้ทั้งหมดกระทำโดยเจิ้งอิ๋งฟู่ ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังและควบคุมมือสังหารของ "เสือรุ่นแรก" ด้วยเหตุนี้ หน่วยข่าวกรองของไต้หวันจึงเริ่มปฏิบัติการเฝ้าระวังและจับกุมเจิ้งอิ๋งฟู่
จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2545 ตำรวจไต้หวันได้เริ่มปฏิบัติการปราบปรามแก๊งอันเข้มงวดต่อสันนิบาตไท่หยาง หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ "โครงการโห้วอี้" และจับกุม "เสือรุ่นแรก" "เสือรุ่นที่สอง" และ "เสือรุ่นที่สาม" ของสันนิบาตไท่หยาง รวมถึงเจิ้งอิ๋งฟู่ รวมถึงแกนนำอีกหลายสิบคน เช่น อดีตประธานสันนิบาตไท่หยาง อู๋ถงถาน และประธานคนปัจจุบัน ซูหลุนหย่าง (蘇倫養) อำนาจของสันนิบาตไท่หยางถูกตำรวจทำลายอย่างหนักและค่อยๆ เสื่อมถอยลง เจิ้งอิ๋งฟู่ยังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับคดีฆาตกรรมหลายคดี และครั้งหนึ่งเคยถูกตัดสินประหารชีวิตโดยสำนักงานอัยการเขตจีหลงในไต้หวัน ในที่สุดเขาถูกจำคุกเป็นเวลา 8 ปีและได้รับการปล่อยตัวโดยทัณฑ์บนในปี พ.ศ. 2553
อย่างไรก็ตาม 'สันนิบาตเทียนต้าว' และกลุ่มพันธมิตร 'สันนิบาตไท่หยาง' ก็ยังแข็งแกร่งและเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน
จนกระทั่งตอนนี้เข้าไปพัวพันกับกิจการสีเทาในกัมพูชาอย่างหนัก ยิ่งทำให้ความเกี่ยวข้องกับกัมพูชาของก๊งนี้ยิ่งเหนียวแน่นเข้าไปอีก จากเดิมที่เคยส่งระดับหัวกะทิไปฝึกวิชานักฆ่าที่นั่นมาแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป ว่าด้วยความพัวพันของแก๊งเทียนต้าวและไท่หยางกับธุรกิจจีนเทาในกัมพูชา
รายงานพิเศษโดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo*- เจิ้งอิ๋งฟู่ / captured from videp screen (unsourced) via 壹新聞*