2.6หมื่นล.คืนงบกลาง ชงแพ็กเกจแก้หนี้ปชช.
“ภูมิธรรม” นั่งหัวโต๊ะบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงงบเหลือ 2.6 หมื่นล้าน กลับงบกลางฉุกเฉิน เร่งใช้จ่ายให้ทัน ก.ย. "กิตติรัตน์" จ่อชงแพ็กเกจแก้หนี้สินประชาชนครบวงจร ดันธุรกิจลีสซิ่งยกเลิกคิดดอกเบี้ยแบบ Flat Rate
ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2568 โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง, นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์, หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการชุดนี้ได้เสนอเรื่อง “แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท” ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเรียกว่าระยะที่ 1 เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.68 วงเงิน 115,000 ล้านบาทเศษ และครั้งที่ 2 หรือระยะที่ 2 เมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 อีกจำนวน 18,400 ล้านบาทเศษ ซึ่งงบประมาณที่ลงไปทั้งหมดกว่า 1.3 แสนล้านบาท เป็นการเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี เพื่อรับมือกับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ดังนั้นจากกรอบ 1.57 แสนล้านบาท อนุมัติไปประมาณ 1.33 แสนล้านบาท จะเหลืองบประมาณอยู่จำนวนหนึ่ง
“ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานความคืบหน้าการขอรับจัดสรรและผลการอนุมัติจัดสรรโครงการ ความคืบหน้าผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และจะทำอย่างไรกับงบประมาณส่วนที่เหลือ เพื่อให้แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้” นายภูมิธรรมระบุ
ด้านนายพิชัยเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นชอบการโอนงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ที่เหลืออยู่ 2.6 หมื่นล้านบาท ไปเพิ่มในงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ซึ่งการอนุมัติเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงบประมาณสามารถดำเนินการได้โดยตรง แต่จะไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว และคงต้องมาคุยว่าเงินที่โอนไปจะทำอะไร ซึ่งทั้งหมดต้องใช้ภายในเดือน ก.ย.นี้
เมื่อถามว่า เงินที่เหลืออยู่นี้จะนำไปใช้ในเรื่องของการรองรับภาษีสหรัฐอเมริกาหรือชายแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามผลักดันการใช้เงินเพื่อไปรองรับวิกฤตภาษีสหรัฐแล้ว แต่เนื่องจากใช้ให้ทันเดือน ก.ย. จึงเห็นว่าเงินในส่วนที่เหลือขอให้ไปตรงไหนก็ได้ที่ใช้ได้เร็ว ซึ่งรัฐบาลจะพิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป ส่วนของการอนุมัติงบฯ ไปใช้ในส่วนของการช่วยเหลือชายแดนนั้น หากทำได้จะช่วยเหลือประชาชนได้ซึ่งเป็นเรื่องดี
วันเดียวกัน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษาคณะทำงานการกำกับแก้ไขหนี้สินภาคประชาชนรายย่อย เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้จะเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนทั้งหมดให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งจะครอบคลุมหนี้เกือบทุกประเภท ทั้งหนี้นอกระบบ, หนี้ข้าราชการ, หนี้สินเชื่อเช่าซื้อ, หนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.), หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล, หนี้เอสเอ็มอี, หนี้ที่อยู่อาศัย และหนี้เกษตรกรรายย่อย โดยก่อนหน้านี้ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 10 คณะ เพื่อดูแลและแก้ไขปัญหาหนี้แต่ละประเภทในเชิงลึก
ทั้งนี้ คณะทำงานฯ เห็นว่าควรมีการทบทวนเงื่อนไขบางประการของโครงการคุณสู้ เราช่วย เพื่อให้สามารถครอบคลุม เข้าถึง และดูแลลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเช่าซื้อ (ลีสซิ่ง) ซึ่งยอมรับว่ามีข้อเสนอให้มีการยกเลิกการคิดอัตราดอกเบี้ยธุรกิจเช่าซื้อแบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) และปรับไปใช้อัตราดอกเบี้ยที่สอดคล้องกับปัจจุบันมากขึ้น ในลักษณะแบบลดต้นลดดอก ซึ่งเตรียมจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาด้วย
“ธุรกิจลีสซิ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรถจักรยานยนต์และรถยนต์ ซึ่งมีมูลหนี้ไม่ได้สูงมาก และผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าหนี้ก็มีทั้งสถาบันการเงิน บริษัทลูกของสถาบันการเงิน ผู้ประกอบการอิสระ ที่อาจจะไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. แต่ถือว่าเป็นเจ้าหนี้เหมือนกัน และลูกหนี้อยู่ในภาวะลำบาก และที่ผ่านมาหนี้กลุ่มนี้ไม่ได้ถูกแก้ไขจริงจัง เช่น บางรายผ่อน 5 ปี เป็นลูกหนี้ดีมาตลอด 3 ปี แต่จากเศรษฐกิจขรุขระ ส่งผลให้ความสามารถในการหารายได้ลดลง อาจขาดส่ง 3 งวด ต้องถูกยึดรถทันที คำถามคือหนี้ชนิดอื่นมีกระบวนการไกล่เกลี่ย แต่เมื่อเป็นการคำนวณดอกเบี้ยแบบ Flat Rate การจะตั้งยอดเงินต้นใหม่เพื่อเริ่มชำระใหม่ ทำให้ไม่รู้ว่ายอดคงค้างที่ถุกต้องเป็นเท่าไหร่ เพราะการคำนวณแบบ Flat Rate ได้นำดอกเบี้ยในอนาคตเข้าไปรวมไว้ด้วยแล้ว ฉะนั้นจะไปตั้งยอดหนี้คงค้างที่ยังผ่อนไม่ครบว่าเป็นเงินต้นก้อนใหม่เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ก็ไม่ยุติธรรม จึงมองว่าตรงนี้ต้องมีการทำตารางการคำนวณขึ้นมาใหม่” นายกิตติรัตน์ระบุ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ธปท.จะอยู่ในวิสัยทัศน์ที่สามารถทำได้ว่าหากต้องการปรับโครงสร้างตรงกลางสำหรับธุรกิจเช่าซื้อจะดำเนินการอย่างไร โดยมองว่าควรมีช่องทางสำหรับลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อที่เป็นผู้ผ่อนชำระดี และเมื่อถึงจุดหนึ่งไม่อยากผ่อนในอัตราสินเชื่อเช่าซื้อแบบเดิมแล้ว โดยปรับมาผ่อนรายเดือนแบบลดต้นลดดอกเบี้ยจะสามารถทำได้หรือไม่ ยอมรับว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับผู้ประกอบการจำนวนมาก แต่ถึงเวลาที่จะต้องปรับตัว ถ้าไม่เริ่มคิดตั้งแต่วันนี้ จะไม่มีทางได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงอยากให้เข้าใจใหม่ว่าสังคมโดยรวมเขาอยากจะยกเลิกเรื่องนี้กันหมดแล้ว
ขณะเดียวกัน ยอมรับว่าหนี้บางประเภทอาจใช้เวลานานเป็นปีในการแก้ไขปัญหา เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมาย เช่น หนี้ข้าราชการพลเรือน ซึ่งยังติดปัญหาเรื่องการถูกฟ้องล้มละลายจะต้องออกจากราชการ ทำให้ขาดรายได้ ไม่มีความสามารถในการชำระคืน ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการคือการแก้ไขกฎหมายในส่วนนี้ว่าหากเป็นการถูกฟ้องล้มละลายโดยไม่ได้เกิดจากการทุจริต ไม่ต้องออกจากราชการ รวมถึงต้องมีการประสานกับหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ รวมถึงเจ้าหนี้ว่าอย่าฟ้องล้มละลายโดยไม่จำเป็น
นอกจากนี้ ในส่วนของหนี้ที่อยู่อาศัย มองว่าอาจจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อเปิดช่องให้ลูกหนี้ที่กู้บ้าน เมื่อผ่อนไปจนมูลหนี้น้อยกว่ามูลค่าทรัพย์แล้ว สามารถนำหลักทรัพย์มาค้ำประกันเพื่อกู้เพิ่มเติมเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ในส่วนอื่นๆ ได้ สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยเฉพาะในส่วนของสถาบันการเงินต่างๆ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิต จะต้องมีการออกมาตรการในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในลักษณะเดียวกันกับโครงการคลินิกแก้หนี้
อย่างไรก็ดี ในส่วนของหนี้เกษตรกรนั้น ถือเป็นกลุ่มที่น่าเห็นใจ เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเร่งหากลไกในการดูแลเกษตรกรให้ได้รับการคุ้มครองในกรณีที่ราคาผลผลิตได้รับผลกระทบอันเกิดจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งมองว่าเป็นหน้าที่ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในการเร่งประสานงานกับนักวิชาการ ส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในการเร่งเพิ่มผลิตภาพของผลผลิตต่อไร่ให้เพิ่มขึ้น จะเป็นการสร้างโอกาสให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น
สำหรับการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company - AMC) เพื่อรับหนี้ด้อยคุณภาพจากเจ้าหนี้เดิม ต้องมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ และกลับมาประกอบอาชีพได้ ต้องไม่ใช่การดำเนินการเพื่อมีเป้าหมายในการนำหลักทรัพย์ไปขายทอดตลาดอย่างเดียว หรือแค่การซื้อหนี้มาทำกำไร แต่ต้องรับผิดชอบภารกิจในการฟื้นฟูลูกหนี้ให้กลับมาชำระหนี้ได้อย่างยั่งยืน.