‘EGAT - MEA - PEA’ ผนึกกำลังชูอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน ในงาน Show and Share Innovation for the Better Life 2025
ไฮไลต์นวัตกรรม: ขึงสายไฟแรงสูงไม่ดับไฟ - AI โซลาร์ฟาร์ม - ยานใต้น้ำดูแลโซลาร์ลอยน้ำ
(21 ส.ค. 68) ถ้าเอ่ยถึง “ไฟฟ้า” หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว อยู่ในมือของวิศวกรและนักวิจัย แต่ความจริงแล้วทุกนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นมา ล้วนสะท้อนกลับมาสู่ชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงของแสงสว่างในห้อง การชาร์จมือถือที่ไม่เคยสะดุด หรือแม้แต่พลังงานสะอาดที่เราหวังพึ่งพาเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
งาน “Show and Share Innovation for the Better Life 2025” ที่จัดขึ้นโดย 3 การไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) การไฟฟ้านครหลวง (MEA) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) จึงไม่ใช่แค่เวทีแสดงผลงานวิจัยหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ เท่านั้น แต่เป็นภาพสะท้อนของความพยายามครั้งใหญ่ ในการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมพลังงานยุคดิจิทัลและคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง
ภายในงานเต็มไปด้วยบรรยากาศของการพบปะ แลกเปลี่ยน และการนำเสนอผลงานที่น่าสนใจจากทั้งสามหน่วยงาน ทั้งนิทรรศการ การเสวนาจากผู้นำทัพด้านนวัตกรรมขององค์กร ไปจนถึงการโชว์เคสเทคโนโลยีไฟฟ้าที่ไม่เคยเปิดเผยในวงกว้างมาก่อน เสมือนเป็น “เวทีเปิดบ้าน” ของคนทำงานไฟฟ้า ที่ครั้งนี้ตั้งใจเล่าให้ประชาชนเข้าใจง่ายขึ้นว่าพลังงานกับนวัตกรรมมีบทบาทอย่างไรกับชีวิตประจำวัน
นวัตกรรมแรกที่น่าสนใจคือ นวัตกรรมการขึงสายส่งไฟฟ้าแรงสูงข้ามอุปกรณ์ที่มีกระแสไฟฟ้า 115-230 เควี (Innovation for stringing high voltage transmission line across 115-230 kV electricity equipment) ลองนึกภาพว่า หากต้องซ่อมหรือขึงสายไฟแรงสูงในสถานีไฟฟ้า สิ่งที่ตามมาคือ “ต้องดับไฟก่อน” ใช่ไหม? แต่การดับไฟแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะกับภาคครัวเรือน โรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่เศรษฐกิจโดยรวม
ทีมงานของ EGAT จึงคิดค้นเทคนิคใหม่ในการ ขึงสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 115–230 เควี โดยไม่ต้องดับไฟ พูดง่าย ๆ คือสายไฟเส้นใหม่ถูกดึงผ่านอุปกรณ์ที่ยังจ่ายกระแสไฟอยู่ได้อย่างปลอดภัย ด้วยการใช้โปรแกรมคำนวณเฉพาะที่พัฒนาเอง และหุ่นยนต์ควบคุมระยะไกลเข้ามาช่วย
ผลลัพธ์คือไม่ต้องหยุดจ่ายไฟแม้แต่วินาทีเดียว ลดความเสี่ยง ลดการสูญเสียไฟฟ้าที่อาจมีมูลค่าสูงถึง 31 ล้านบาทต่อชั่วโมง และที่สำคัญคือประชาชนไม่ต้องเผชิญกับไฟดับให้เสียหายหรือลำบากเลย นับเป็นนวัตกรรมที่สร้างทั้ง ความต่อเนื่องและความมั่นคง ให้กับระบบไฟฟ้าไทย
มาต่อกันที่เรื่องของพลังงานหมุนเวียนกับนวัตกรรมการประยุกต์นวัตกรรมการตรวจสอบโซลาร์ฟาร์มด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และอากาศยานไร้คนขับ (LEVERAGING AI TECHNOLOGY TO UAV INSPECTION FOR SOLAR FARM) ท่ามกลางเป้าหมายใหญ่ของประเทศไทยที่จะก้าวสู่ Carbon Neutrality ภายในปี ค.ศ. 2050 พลังงานแสงอาทิตย์ถูกมองว่าเป็นความหวังสำคัญ แต่เบื้องหลังการดูแลโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ไม่ง่ายเลยเพราะแผงแต่ละแผ่นอาจมีจุดบกพร่อง ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น
EGAT จึงพัฒนา แพลตฟอร์มตรวจสอบแผงโซลาร์เซลล์ด้วยโดรนและ AI โดยโดรนจะบินตรวจสอบแผงเป็นโซน ๆ เก็บภาพถ่ายความร้อน (IR Camera) แล้ว AI จะวิเคราะห์หาความผิดปกติทันที พร้อมระบุตำแหน่งพิกัด GPS และออกเป็นรายงานอัตโนมัติ
ฟังดูเหมือนงานวิจัย แต่ผลที่ได้จับต้องได้มาก เช่น ลดเวลาการตรวจสอบจาก 3 ชั่วโมงเหลือเพียง 40 นาที ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้ EGAT ได้กว่า 40 ล้านบาทต่อปี และยังต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ ให้บริการตรวจสอบโซลาร์ฟาร์มเชิงพาณิชย์ในอนาคตได้ด้วย
และเมื่อต้องพูดถึงโซลาร์ฟาร์มที่กำลังเติบโตบนผืนน้ำของไทย ปัญหาสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการตรวจสอบใต้น้ำ ซึ่งเต็มไปด้วยความเสี่ยงต่อชีวิตนักประดาน้ำ นี่จึงเป็นที่มาของนวัตกรรมยานใต้น้ำไร้คนขับเพื่อตรวจสอบแผงผลิตไฟฟ้าลอยน้ำ (Unmanned Underwater Vehicles for Monitoring the Hydro-Floating Solar) อีกหนึ่งความท้าทายใหม่ของไทยคือ “โซลาร์ลอยน้ำ” บนเขื่อนต่าง ๆ ที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่การตรวจสอบแผงและทุ่นลอยน้ำใต้น้ำ ต้องอาศัยนักประดาน้ำที่ต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปในพื้นที่แคบและอันตราย
จึงมีแนวคิด ยานใต้น้ำไร้คนขับ (UUV) ที่สามารถลงไปสำรวจได้ลึกถึง 30 เมตร และระยะไกลถึง 200 เมตร พร้อมไฟส่องสว่างและกล้องถ่ายทอดสดใต้น้ำแบบเรียลไทม์
สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงให้นักประดาน้ำ แต่ยังเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการบำรุงรักษา ที่สำคัญ ยานดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการยื่นอนุสิทธิบัตร และจะถูกนำไปใช้จริงกับโครงการโซลาร์ลอยน้ำตามเขื่อนใหญ่ ๆ ทั่วประเทศในอนาคตอันใกล้นี้
สามนวัตกรรมที่เล่ามา อาจฟังดูต่างกัน แต่ทั้งหมดมีจุดร่วมเดียวกันคือ “สร้างไฟฟ้าที่มั่นคง สะอาด และปลอดภัยยิ่งขึ้น” เพื่อตอบโจทย์สังคมคาร์บอนต่ำที่โลกกำลังมุ่งไป
งาน Show and Share Innovation for the Better Life 2025 ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การอวดผลงานวิจัย แต่เป็นการยืนยันว่า เราพร้อมเดินหน้าไปด้วยกัน เพื่อให้คนไทยได้ใช้ไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอเพียง แต่ยังเป็นไฟฟ้าที่สะท้อนถึงอนาคตที่ยั่งยืน