การขายชาติของ'นายกฯ ที่คนเกลียดตลอดกาล'กับข้อตกลงสันติภาพที่แลกมาด้วยการเสียดินแดน
ในช่วงหนึ่งของราชวงศ์ซ่งของจีน (ระหว่าง ค.ศ. 960 - ค.ศ. 1279) ราชสำนักเหยาะแหยะไร้ความสามารถ ทำให้ถูกอาณาจักรของชนชาติหนวี่เจิน คือ 'อาณาจักรจิน' ที่ตั้งอยู่ทางภาคอีสานของจีนทุกวันนี้รุกราน ในเวลานั้น จักรพรรดิของราชวงศ์ซ่ง คือ 'จักรพรรดิฮุยจง' (หรือ ซ่งฮุยจง) ไม่สนใจราชกิจเอาแต่เสพสุขเรื่องศิลปะและวัฒนธรรม ปล่อยปละละเลยเรื่องการป้องกันประเทศ เมื่อถูกรุกรานครั้งหนึ่งก็ขวัญเสีย จนสละราชบังลังก์ให้พระราชโอรสขึ้นครองราชย์แทนมีพระนามว่า 'จักรพรรดิชินจง' (หรือ ซ่งชินจง) ส่วนตนก็ขึ้นเป็น 'พระเจ้าหลวง' หรือ 'ไท่ซ่างหวง' มีสถานะสูงกว่าจักรพรรดิแต่ไม่ต้องบริหารบ้านเมืองอะไร
หลังจากพวกจินถอยทัพไปแล้ว บ้านเมืองกลับมาปกติแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง อาณาจักรจินก็บุกเข้าตีซ่งอีกครั้ง จักรพรรดิชินจงแห่งราชวงศ์ซ่งไม่สามารถบัญชาการกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเหตุให้นครหลวงเปี้ยนจิง (หรือเมืองไคฟง) ถูกพวกจินตีแตกได้ในที่สุด พวกจินได้จับตัวจักรพรรดิชินจง จักรพรรดิฮุยจง พระมเหสี พระพันปีหลวง พระบรมวงศ์ ขุนนางข้าราชบริหารไปเป็นเชลยที่อาณาจักรจิน ได้รับความอัปยศเหลือคณานับ
แต่ยังมีเชื้อพระวงศ์ซ่งคนหนึ่งสามารถหนีจากภาคเหนือลงไปภาคใต้ฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงได้ คือโอรสองค์ที่ 9 ของจักรพรรดิฮุยจงและ 'พี่น้องต่างมารดา' ของจักรพรรดิชินจง นั่นคือ 'จ้าวโก้ว' ทำการตั้งราชวงศ์ซ่งขึ้นมาใหม่ที่ภาคใต้ เมืองหลวงอยู่ที่หลินอัน (เมืองหังโจว) แล้วตั้งตนเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ มีพระนามในภายหลังว่า จักรพรรดิเกาจง หรือ 'ซ่งเกาจง' และมีชื่อรัชสมัยว่า 'เส้าซิง'
นับแต่นั้นมา ประวัติศาสตร์จีนก็แบ่งยุคสมัยของ 'ซ่ง' ออกเป็น 'ซ่งเหนือ' และ 'ซ่งใต้'
โดยที่ดินแดนเดิมของซ่งเหนือได้กลายเป็นพื้นที่ของอาณาจักรจินไปแล้ว รวมถึงคนจีนฮั่นอีกนับล้านที่ตกค้างในดินแดนนั้น ไม่เว้นแม้แต่จักรพรรดิแห่งซ่งเหนือทั้งสองพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางที่ถูกจับตัวเป็นเชลยโดยพวกจิน
ฉินฮุ่ยก็เป็นหนึ่งในขุนนางซ่งเหนือที่ถูกจับเป็นเชลย แต่ต่อมาเขายอมรับใช้แม่ทัพของอาณาจักรจิน จนกระทั่งเขาอ้างว่า "หนี" จากการควบคุมของพวกจินมาได้ และเดินทางข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงลงใต้มายังดินแดนของซ่งใต้ได้ในที่สุด
แต่เรื่องนี้มีปัญหาอยู่ที่ ฉินฮุ่ย กล่าวว่าตนเอง "ฆ่าผู้คุมและหนีไปทางเรือ" จากนั้นก็ลงมาที่ซ่งใต้ แต่ก็มีผู้เผยความจริงว่าเขาอาจะไถ่ตัวเองจากการเป็นเชลย แต่แล้วก็มีการวิเคราะห์ในภายหลังว่า ฉินฮุ่ย ได้รับการปล่อยตัวมาโดยตั้งใจ เนื่องจากฉินฮุ่ยเป็นคนแรกที่ริเริ่มนโยบายเจรจาสันติภาพในราชสำนักจิน พวกจินจึงปล่อยตัวเขากลับคืนสู่อาณาจักรซ่งใต้โดยหวังจะใช้ฉินฮุ่ยเป็นหมากตัวหนึ่งในแผนการยึดอาณาจักรซ่งใต้
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบาย "กอบกู้ดินแดน" ของอาณาจักรซ่งใต้ เพราะราชสำนักซ่งใต้ไม่ถึงกับยอมทิ้งภาคเหนือไปเสียทีเดียวแต่ยังมีความสามารถในการรับมือกับอาณาจักรจินไว้ได้ และจักรพรรดิเกาจงก็มีความคิด (ในตอนแรก) ที่จะช่วงชิงดินแดนทางเหนือคืนมา
แต่ในเวลานั้นเอง ก็เกิดความคิดริเริ่มในการแก้ไขความบาดหมางและเจรจาสันติภาพกับอาณาจักรจิน ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อฉินฮุ่ยเดินทางมาถึงซ่งใต้ในที่สุด
หลังจากฉินฮุ่ยมาถึงอาณาจักรซ่งใต้แล้วก็ได้รับตำแหน่งทางราชการแทบจะทันทีและเป็นตำแหน่งที่สูงมาก เนื่องจากมีผลงานเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วจากการรับใช้ราชสำนักสมัยอยู่กับราชวงซ์ซ่งเหนือ โดยในเดือนยี่ ปีแรกของรัชสมัยเส้าซิง (ค.ศ. 1131) ฉินฮุ่ยถึงกับได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว
พอมีตำแหน่งเท่านั้น ในเดือนเจ็ดปีเดียวกัน ฟ่านจงอิ่น นายกรัฐมนตรี (ไจ่เซี่ยง 宰相 หรืออัครมหาเสนาบดี) ประจำราชสำนัก เสนอให้ราชสำนักหารือเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการใช้จ่ายที่สูงเกินควรเรื่องเสพสุขในราชสำนัก (โดยเฉพาะในรัชกาลของจักรพรรดิฮุยจงอันเป็นเหตุให้สูญเสียซ่งเหนือ) ในฉากหน้านั้นฉินฮุ่ยเห็นด้วยอย่างยิ่งกับฟ่านจงอิ่น แต่เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิเกาจงคัดค้านอย่างหนักแน่น ฉินฮุ่ยกลับใช้ข้ออ้างนี้เพื่อขับไล่ฟ่านจงอิ่นออกไป ฟ่านจงอิ่นจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากฟ่านจงอิ่นถูกปลดออกจากตำแหน่ง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ว่างลงเป็นเวลานาน ฉินฮุ่ยประกาศว่า "ข้ามีแผนสองแผนที่จะสร้างความตกตะลึงให้กับโลก" เมื่อมีคนถามเขาว่าทำไมถึงไม่พูด ฉินฮุ่ยตอบว่า "ตอนนี้ไม่มีนายกรัฐมนตรีแล้ว ข้าจึงไม่สามารถดำเนินการได้"
ในเดือนแปดปีแรกของรัชสมัยเส้าซิง (ค.ศ. 1131) ฉินฮุ่ยก็ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีร่วมสำนักเลขาธิการ และผู้อำนวยการสภาองคมนตรี ต่อมาเขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่ในเดือนสามปีที่แปดแห่งรัชสมัยเส้าซิง (ค.ศ. 1138) ฉินฮุ่ยได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง รวมถึงรัฐมนตรีร่วมสำนักเลขาธิการ และองคมนตรี โดยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีร่วมกับจ้าวติ่ง
ในครานั้น เอียนตุ้นฟู่ รองเสนาบดีกระทรวงบุคคลากร กล่าวด้วยสีหน้ากังวลว่า "คนทรยศได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว" เดือนห้า อาณาจักรจินส่งทูตมาเจรจาสันติภาพกับอาณาจักรจิน ราชสำนักจึงมีมติให้เว่ยกังรองเสนาบดีกระทรวงบุคคลากรเป็นผู้ติดตาม แต่เว่ยกังปฏิเสธ โดยกล่าวว่า "สมัยก่อนข้าเป็นผู้ตรวจราชการ ข้าเคยบอกว่าข้อเสนอสันติภาพนั้นผิด ตอนนี้ข้าไม่สามารถร่วมเจรจาสันติภาพกับทูตอาณาจักรจินได้" ฉินฮุ่ยถามเว่ยกังว่าทำไมเขาจึงไม่สนับสนุนสันติภาพ เว่ยกังได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ของข้าศึกอย่างละเอียด ฟังแล้วฉินฮุ่ยก็กล่าวกับเว่ยกังว่า "ท่านใช้สติปัญญาทำนายข้าศึก ในขณะที่ข้าปฏิบัติต่อข้าศึกด้วยความจริงใจ" เว่ยกังตอบว่า "ข้าเกรงว่าข้าศึกจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความจริงใจ" ฉินฮุ่ยจึงเปลี่ยนการแต่งตั้ง
จักรพรรดิเกาจงปรารถนาจะพบพระราชมารดาที่ถูกอาณาจักรจินจับเป็นตัวประกันไว้ แต่ก็ทรงลังเลเรื่องการเจรจาสันติภาพโดยแลกกับการที่อาณาจักรจินจะยอมมอบตัวพระราชมารดาให้มายังอาณาจักรซ่งใต้ เพราะความลังเลพระทัยนี้ ฉินฮุยจึงกราบทูลจักรพรรดิเกาจงว่า "การถ่อมตนเพื่อเจรจาสันติภาพคือความกตัญญูกตเวทีของผู้ปกครอง การถ่อมตนต่อผู้ปกครองและรู้สึกขุ่นเคืองคือความภักดีของรัฐมนตรี" อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิเกาจงตรัสว่า "ถึงกระนั้น การเตรียมพร้อมย่อมดีกว่า แม้ว่าจะบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้ แต่การป้องกันชายแดนก็ไม่สามารถผ่อนคลายได้"
ในเดือนสิบ ปีที่แปดแห่งรัชสมัยเส้าซิง (ค.ศ. 1138) หลังจากที่จ้าวติ่งถูกปลดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีร่วมเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์ ฉินฮุ่ยจึงขึ้นสู่อำนาจแต่เพียงผู้เดียวและตัดสินใจที่จะเจรจาสันติภาพ แต่ในราชสำนักมีความเห็นต่อต้านการเจรจาสันติภาพซึ่งทำให้ฉินฮุ่ยไม่พอใจ ข้าราชการระดับสูงที่ต่อต้านเขาถูกขับออกจากราชสำนักตามลำดับ ขณะเดียวกัน เสนาบดีสำนักราชเลขาธิการกลาง และ รัฐมนตรีกระทรวงพิธีกรรม คัดค้านข้อเสนอสันติภาพ ฉินฮุ่ยจึงใช้พระปรมาภิไธยของจักรพรรดิเกาจงปลดพวกเขาออกจากตำแหน่ง ไม่นานหลังจากนั้น ผู้ตรวจราชการและประธานองคมนตรี ยังได้ร่วมกันยื่นฎีกาคัดค้านข้อเสนอสันติภาพเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ ก็ได้ยื่นยื่นฎีกาคัดค้านข้อเสนอสันติภาพเช่นกัน แต่จักรพรรดิเกาจงไม่เพียงไม่รับฟัง ยังลดตำแหน่งเสนาบดีบางคนอีกด้วย
ในที่สุด ฝ่ายเรียกร้องสันติภาพกับอาณาจักรจินก็มีชัยเหนือฝ่ายทวงคืนแผ่นดินที่เสียไป ทำให้ฝ่ายจินได้คืบจะเอาศอก สั่งให้ฝ่ายอาณาจักรซ่งใต้ต้องมีสถานะต่ำกว่า จักรพรรดิแห่งจินถึงกับแต่งตั้งพระยศของจักรรดิเกาจงแห่งซ่งใต้ เท่ากับลดสถานะของผู้ปกครองซ่งให้เป็นเพียงประเทศราช กระนั้นก็ตาม ฉินฮุ่ยกลับต้องการให้ซ่งเกาจงประกอบพิธีน้อมรับตราตั้งอันอัปยศ จักรรดิเกาจงโต้กลับว่า "ข้าสืบทอดมรดกจากจักรรดิไท่จู่และจักรรดิไท่จง ข้าจะรับตำแหน่งนี้จากชาวจินได้อย่างไร" เหล่าเสนาบดีและประชาชนต่างก็คัดค้าน แต่ทูตของจินกลับยืนยันต้องการให้ข้าราชการทุกคนเข้าร่วมพิธี ฉินฮุ่ยไม่ฟังเสียงประชาชนและขุนนาง กลับยอมรับข้อเสนอให้ข้าราชการระดับมณฑลนำขบวนในชุดราชสำนักไปรับสาส์นไปตั้งไว้ในพระราชวัง หลังจากนั้นพวกจินจึงตกลงที่จะคืนดินแดนเดิมของอาณาจักรซ่งในมณฑลเหอหนานและส่านซี รวมถึงอัญเชิญพระศพของจักรพรรดิฮุยจง พระราชมารดา และพระญาติของจักรพรรดิเกาจงที่ถูกพวกจินจับตัวเป็นเชลย กลับคืมายังซ่งใต้
ในปีที่เก้าของรัชสมัยเส้าซิง (ค.ศ. 1139) อาณาจักรจินได้คืนดินแดนเดิมของอาณาจักรซ่งในมณฑลเหอหนานและส่านซี แม้ว่าจักรพรรดิเกาจงจะยอมรับการเจรจาสันติภาพของฉินฮุ่ย แต่พระองค์กลับสงสัยว่าจินนั้นนั้นไว้วางใจไม่ได้ ดังนั้นพระองค์จึงไม่เคยผ่อนคลายการป้องกันชายแดนเลย
ในปีที่สิบของราชวงศ์เส้าซิง (ค.ศ. 1140) พวกจินก็หักหลังอาณาจักรซ่งใต้จริงๆ แล้วทำการบุกโจมตีจากสี่ทิศทางจนเสียดินแดนไปหลายแห่ง คราวนี้ ฉินฮุ่ยตกอยู่ในภาวะยากลำบากเพราะตนเป็นฝ่ายเสนอการเจรจาสันติภาพ แต่โชคเขายังดีเพราะมีผู้ถวายฎีกาต่อจักรพรรดิเกาจงว่า "ในอดีตไม่มีใครริเริ่มการเจรจาเรื่องกิจการของรัฐในเบื้องต้น แต่บัดนี้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หากนายกรัฐมนตรีถูกแทนที่ นายกรัฐมนตรีคนใหม่อาจไม่ดีนัก แล้วยังจะกีดกันผู้เห็นต่าง อาจเกิดความวุ่นวายคงอยู่อีกหลายเดือน ข้าพระองค์หวังว่าฝ่าบาทจะทรงถือว่านี่เป็นคำเตือน"จักรพรรดิเกาจงทรงเชื่อเช่นนั้น ดังนั้น ฉินฮุ่ยจึงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างมั่นคงต่อไป แม้ความคิดเห็นของสาธารณชนจะเห็นไปในทางตรงกันข้ามก็ตาม
ในเวลาเดียวกัน ก็มีดาวเด่นเกิดขึ้นมาในกองทัพ นั่นคือ แม่ทัพเยว่เฟยหรือ 'งักฮุย' ซึ่งเชี่ยวชาญในการทำศึกและเป็นหนึ่งในขุนนางฝ่ายสนับสนุนสงคราม (主战派) ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับค่ายสนับสนุนสันติภาพ (主和派) ที่นำโดยฉินฮุ่ย
ในเดือนเจ็ดปีเดียวกันนั้น กองทัพซ่งได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องในหลายแนวรบ โดยเยว่เฟยยึดเหนี่ยวหยานเฉิง และแม่ทัพทุกนายต่างก็ชนะในทุกที่ที่ไป แต่ฉินฮุ่ยยืนกรานที่จะถอนกำลังพล ในเดือนกันยายน แม่ทัพเยว่เฟยได้รับคำสั่งให้กลับราชสำนัก ไม่ต้องรบต่อไป หลังจากกองทัพซ่งถอนทัพ เมืองสามเมืองก็ถูกกองทัพจินยึดครองอีกครั้ง แม้จะเสียแผ่นดินไปขนาดนี้ ฉินฮุ่ยก็ยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา
ในเดือนสี่ ปีที่ 11 แห่งรัชสมัยเส้าซิง (ค.ศ. 1141) ฉินฮุ่ย หวังจะยึดอำนาจทางทหารของเหล่าแม่ทัพทั้งหมด จึงได้ขอร้องจักรพรรดิเกาจงอย่างลับๆ ให้เรียกแม่ทัพทั้งสามมา “ให้รางวัลตามความดีความชอบ” โดยเยว่เฟยได้รับแต่งตั้งเป็นรององคมนตรี แล้วพระองค์จึงทรงบัญชาให้กองทัพอยู่ภายใต้องคมนตรี นั่นคือ ฉินฮุ่ย
แต่แล้ว ในเดือนสิบ เยว่เฟยถูกจำคุกอย่างไม่เป็นธรรม ฉินฮุ่ยสั่งให้ถอดตำแหน่งของเยว่เฟย และมีการกล่าวหาทหารที่เป็นพลพรรคของเยว่เฟยอย่างไม่เป็นธรรมว่าเป็นกบฏ เยว่เฟยและบุตรชายถูกส่งตัวไปที่กรมตุลาการ ในระหว่างนั้นเองเมื่อถึงเดือนสิบเอ็ด อาณาจักรซ่งใต้และอาณาจักรจินบรรลุ "ข้อตกลงสันติภาพที่เมืองเส้าซิง" (绍兴和议) ซึ่งมีเงื่อนไขหนึ่งที่พวกซ่งต้องทำตาม
ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ซ่ง 《宋史·岳飞传》กล่าวว่า อู้จู๋ องค์ชายและแม่ทัพของอาณาจักรจินกล่าวว่า "อู้จู๋ทิ้งจดหมายไว้ให้ฉินฮุ่ย โดยกล่าวว่า "ท่านเรียกร้องสันติภาพทั้งกลางวันและกลางคืน แต่เยว่เฟยกำลังวางแผนยึดเหอเป่ย มีเพียงการสังหารเยว่เฟยเท่านั้นที่เราจะบรรลุสันติภาพได้""
ดังนั้น ในเดือนสิบสอง ฉินฮุ่ยก็กล่าวหาเยว่เฟยอย่างไม่เป็นธรรมว่าดูหมิ่นจักรพรรดิเกาจง โดยอ้างว่าเยว่เฟยพูดหลายครั้งว่าข้อตกลงสันติภาพล้มเหลว เขากล่าวหาเยว่เฟยอย่างไม่เป็นธรรมทั้งสิ้น แล้วก็สั่งตัดสินประหารชีวิตเยว่เฟยในคุก บุตรชายและทหารคู่ใจของเยว่เฟยถูกประหารเช่นกัน
เมื่อข่าวการประหารเยว่เฟยไปถึงอาณาจักรจิน พวกจินต่างเฉลิมฉลองด้วยความยินดี ประกาศว่า "ข้อตกลงสันติภาพมั่นคงสถาพรแล้ว" แต่ประชาชนชาวซ่งกับเศร้าโสกเสียใจและเคืองแค้นที่แม่ทัพซึ่งเป็นความหวังของบ้านเมืองกลับต้องลงเอยเช่นนี้
ณ บัดนี้ ฉินฮุ่ยไม่มีศัตรูทางการเมืองและในกองทัพเลย เพราะถูกไล่ออก ลดตำแหน่ง หรือถูกประหารไม่หยุดหย่อน พวกที่เหลือจึงเป็นพวกที่คอยยกยอปอปั้นเขาและสนับสนุนแนวทาง "สันติภาพ" ของเขา อำนาจจึงอยู่ในมือของฉินฮุ่ยเพียงคนเดียวและยังเป็นบุคคลที่จักรพรรดิเกาจงยังรับฟังอยู่เสมออีกด้วย
นี่คือ "ยุคสันติภาพแห่งเส้าซิง" ซึ่งต้องแลกมาด้วยการเสียศักดิ์ศรีของชาวซ่ง การเสียดินแดนของชาวซ่ง และเสียขุนนางที่ซื่อสัตตย์และแม่ทัพที่มีความสามารถ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ต้องแลกเมื่อกับคำว่า "สันติภาพ" ที่ผลักดันโดยฉินฮุ่ย โดยมีขุนนางสอพลอต่างๆ คอยยกยอปอปั้นกระบวนการสันติภาพนี้ เช่นในปีที่ 13 แห่งรัชสมัยเส้าซิง (ค.ศ. 1143) ขุนนางคนหนึ่งพบแผ่นไม้สลักคำว่า "ปีแห่งสันติภาพแห่งใต้หล้า" (ใต้หล้ามายถึงโลก) แล้วรายงานเรื่องนี้แก่องค์จักรพรรดิ จักรพรรดิเกาจงก็เชื่อว่าเป็นของฟ้าประทาน สั่งให้นำมาเก็บไว้ที่กรมประวัติศาสตร์ ขณะที่ฉินฮุ่ยก็ใช้โอกาสนี้โปรโมท "ปีแห่งสันติภาพ" ด้วยงานอีเว้นต์และพิธีกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับกระบวนการสันติภาพของตน
ในภายหลัง จักรพรรดิเกาจงถึงกับตรัสกับขุนนางว่า "ฉินฮุ่ยเป็นผู้สนับสนุนสันติภาพที่แข็งแกร่งระหว่างสองประเทศ และทุกท่านมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง วันนี้เราควรรวมพลังและร่วมมือกันเพื่อยุติการสู้รบและมอบสันติภาพให้กับประชาชน"
พวกขุนนาง (ฝ่ายต้องการสันติภาพ) ก็เห็นแบบเดียวกันโดยถวายฎีกาแก่เกาจงหลังจากที่ฉินฮุ่ยเสียชีวิตแล้วว่า "ฉินฮุ่ยสนับสนุนการเจรจาสันติภาพอย่างแข็งขัน ใต้หล้าจึงสงบสุข … ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณความพยายามของท่านในฐานะนายกรัฐมนตรี ท่านได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศอย่างแท้จริง'"
ฉินฮฺุ่ยกุมอำนาจมาอย่างยาวนานได้ สามารถเปลี่ยนดำเป็นขาว ชี้นกเป็นไม้ ทั้งหมดนี้หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิเกาจงให้การสนับสนุนย่อมเป็นไปไม่ได้ เหตุที่เกาจงสนับสนุนคนที่ทั้งแผ่นดินเกลียดชิงนั้น นักประวัติศาสตร์ยุคหลังวิเคราะห์ว่า ฉิยฮุ่ยสนองผลประโยชน์ที่เกาจงปรารถนา นั่นคือ การใช้ข้อตกลงสันติภาพเพื่อเป็นข้ออ้างหยุดแม่ทัพของซ่งใต้ที่ต้องการรุกคืบดินแดนของซ่งคืนมาจากจิน เพราะหากแม่ทัพของซ่งใต้เอาชนะจินได้ เมื่อมีวันนั้นขึ้นมาได้จักรพรรดิฮุยจงและจักรพรรดิชินจงแห่งอาณาจักรซ่งเหนือที่ถูกจับตัวเป็นเชลยในอาณาจักรจิน ก็จะสามารถกลับมาครองแผ่นดินซ่งที่ภาคใต้ได้อีกครั้ง จึงเป็นอันตรายต่อสถานะการเป็นจักรพรรดิของเกาจง ดังนั้น เกาจงจึงต้องสนับสนุน "สันติภาพ" ของฉินฮุ่ย เพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ในฐานะจักรพรรดิเพียงแต่ผู้เดียว
ตัวอย่างเช่นในหนังสือ "การตีความประวัติศาสตร์จีนผิด" 《中国人的历史误读》 ของฉีเยี่ยนเฉินที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2005 (มีบทหนึ่งชื่อว่า "การจองเวรระหว่างฉินและเยว่ กำกับโดยจ้าวโก้ว) หนังสือเล่มนี้เสนอว่าที่แม่ทัพเยว่เฟยสนับสนุน "การอัญเชิญจักรพรรดิทั้งสอง (ฮุยจงและชินจง) กลับคืนราชสำนัก" เป็นการคุกคามสถานะของเกาจง (จ้าวโก้ว) จนนำไปสู่การประหารชีวิตเยว่เฟยในที่สุด
แนวคิดสำคัญของทฤษฎีนี้ก็คือ ฉินฮฺุ่ยเป็นเพียงผู้สนองนโยบายของจักรพรรดิเกาจงเท่านั้น และท้ายที่สุดฉินฮุุ่ยเป็นเพียงแพะรับบาปในทางประวัติศาสตร์เพียงเพราะสนองเจ้านายของเขาเท่านั้น
บางทฤษฎีชี้ว่า จักรพรรดิเกาจงมองว่าเยว่เฟยเป็นภัยคุกคามเพราะควบคุมกำลังทหารหมู่ใหญ่เอาไว้ ทั้งยังกระทำการก้าวล่วงทางการเมือง เรื่องนี้หนังสือ “การเมืองจักรวรรดิในอดีตที่ผ่านมา” 《帝国政界往事》 เขียนโดยหลี่ย่าผิงเมื่อปี ค.ศ. 2004 เสนอว่าเพราะเยว่เฟยมีอำนาจบัญชาการกำลังทหารสามในห้าส่วนของประเทศ แต่แล้วเยว่เฟยกลับรีบร้อนขอร้องให้จักรพรรดิแก้ไขปัญหาเรื่องผู้สืบทอดราชบัลลังก์โดยเร็วที่สุด เรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิเกาจงไม่พอพระทัย ตรัสว่า “ท่านมีกำลังพลจำนวนมากอยู่นอกประเทศ เรื่องนี้ไม่ใช่กงการอะไรของท่าน” และนำไปสู่คำสั่งสั่งประหารเยว่เฟยในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ยังมีการเสนอแง่มุมทางประวัติศาสตร์อีกด้าน โดยบอกว่าเยว่เฟยไม่ได้ตะบี้ตะบันเสนอแนวทาง "การอัญเชิญจักรพรรดิทั้งสองกลับคืนราชสำนัก" จนเป็นภัยต่อเกาจง เพราะในเวลาต่อมา จักรพรรดิฮุยจงสวรรคตในปีที่เจ็ดแห่งรัชสมัยเส้าซิง (ค.ศ. 1137) ชาวจินก็คิดที่ะสนับสนุนให้จักรพรรดิชินจงกลับขึ้นสู่ราชสำนักเพื่อขึ้นครองบัลลังก์ ดังนั้น เยว่เฟยจึงเปลี่ยนความคิดที่จะ “ต้อนรับผู้สูงส่งทั้งสอง” และเสนอให้อัญเชิญพระศพของฮุยจง องค์จักรพรรดินี และสมาชิกราชวงศ์ เช่น พระพันปีหลวงกลับมาแทน ซึ่งท่าทีนี้ของเยว่เฟยยังได้รับคำชื่นชมและความร่วมมืออย่างเต็มที่จากจักรพรรดิเกาจง ดังนั้นจึงไม่น่าที่เกาจงจะสนับสนุนให้ฉินฮุ่ยให้ประหารแม่ทัพเยว่เฟย แต่ควรจะเป็นฉินฮฺุ่ยที่ใส่ความเยว่เฟยด้วยข้อหาต่างๆ เพื่อกำจัดผู้ที่เป็นเสี้ยนหนามของอาณาจักรจิน เพราะแม้จริงแล้วฉินฮุ่ยทำงานเป็นสายลับ "ขายชาติ" ให้กับอาณาจักรจิน
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หลังสิ้นฉินฮุ่ยและจักพรรดิเกาจง ฉินฮุ่ยก็กลายสภาพจากนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจหนึ่งเดียว กลายเป็นคนโฉดชั่ว โดยที่เกาจงไม่มีผู้ใดกล้าวิจารณ์แม้จะสวรรคตไปแล้ว เพราะยังเป็นยุคศักดินาที่ห้ามตำหนิเจ้าแผ่นดิน
หลังจากที่ฉินฮุ่ยเสียชีวิตใหม่ๆ ในวัย 66 ปี เกาจงสถาปนาให้เขาเป็น 'กษัตริย์แห่งเซิน' หรือเซินหวาง (申王) อันเป็นตำแหน่งเจ้าศักดินาที่จะพระราชทานเฉพาะเชื้อพระวงศ์ตระกูลจ้าวหรือตระกูลของจักรพรรดิเท่านั้น แสดงถึงความไว้วางพระทัยอย่างมากต่อฉินฮุ่ย และยังพระราชทานสมญญานามให้ด้วยว่า 'จงเซี่ยน' (忠献) ที่หมายถึง "ซื่อสัตย์และอุทิศตนแก่เจ้าเหนือหัว"
จง (忠) แปลว่าซื่อสัตย์ภักดี แต่โปรดสังเกตว่า คำว่า เซี่ยน (献) มีความหมายว่า "เนื้อสัตว์ที่นำมาถวายเพื่อบวงสรวงบรรพชน" อาจบ่งนัยว่าฉินฮุ่ย คือแพะ (เนื้อ) ที่รับบาปแทนเจ้านายคือจักรพรรดิฮุยจงก็เป็นได้
แต่พอเปลี่ยนรัชกาลใหม่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ในเดือนสี่ ปีที่ 2 แห่งรัชสมัยไคสี่ของจักรพรรดิหนิงจง (ค.ศ. 1206) หลี่ปี้ รักษาการเสนาบดีกระทรวงพิธีการ (เทียบได้กับรัฐมนตรีมหาดไทย) ได้รายงานแก่จักรพรรดิหนิงจงว่า “ฉินฮุ่ยเป็นคนแรกที่ริเริ่มการเจรจาสันติภาพ เพื่อที่ความเกลียดชังที่บรรพบุรุษและพี่น้องของเขาสืบทอดมานับร้อยชั่วอายุคนจะไม่ถูกเล่าขานโดยเสนาบดีอีกต่อไป เป็นการสมควรที่จะปลดฮุ่ยโดยเร็วที่สุดเพื่อแสดงให้โลกเห็น” ฉินฮุ่ยจึงถูกปลดย้อนหลังจากตำแหน่ง เนื่องจากริเริ่มการเจรจาสันติภาพและสังหารแม่ทัพและเสนาบดีอย่างไม่เป็นธรรม หลังจากนั้นสมัญญานามที่ตั้งให้ฉินฮุ่ยหลังเสียชีวิตก็ถูกเปลี่ยนเป็น 'มิ่วโฉ่ว' (谬丑) แปลว่า "ผู้กระทำความผิดเพี้ยนอันน่าชิงชัง" เพื่อประณามความชั่วที่ได้กระทำไว้
ต่อมาในเดือนสอง ปีที่ 2 รัชสมัยเป่าโย่วของจักรพรรดิหลี่จง (ค.ศ. 1254) ได้เปลี่ยนสมัญญานามที่ตั้งให้ฉินฮุ่ยหลังเสียชีวิตเป็น 'มิ่วเหิ่น' (谬狠) แปลว่า "ผู้กระทำความผิดเพี้ยนอันเหี้ยมโหด) อันเป็นชื่อที่แสดงความเลวทรามของเชาอีกเช่นกัน ขณะเดียวกันก็ถวายสมัญญานามให้แม่ทัพเยว่เฟยว่า 'จงอู่' (忠武) หรือ "ผู้ซื่อสัตย์อันช่ำชองในการยุทธ์"
ณ ตอนนี้ ฉินฮุ่ยไม่มีสมญาว่า 'ซื่อสัตย์' (忠) อีกต่อไป เพราะเขาซื่อสัตย์กับนายของเขาไม่ใช่กับประเทศชาติโดยรวม และสมญญานามนี้สมควรกับแม่ทัพเยว่เฟยเท่านั้น
และ 'ชื่อเสีย' เหล่านี้ไม่เพียงติดตัวฉินฮุ่ยในหน้าประวัติศาสตร์ตราบจนสิ้นโลกเท่านั้น ยังบอกถึงพฤติกรรมของเขาเมื่อยังมีชีวิตได้อย่างรวบรัดและชัดเจนอย่างยิ่ง
Photo - รูปปั้นของฉินฮุ่ยและภรรยา เปลือยกายคุกเข่าที่ด้านหน้าศาลและสุสานของเยว่เฟย ที่ริมทะลสาบซีหู เมืองหังโจว ถ่ายเมื่อปี ค.ศ. 1917 รูปปั้นนี้จะถูกผู้คนมาถ่มน้ำลายและตบตีเพื่อระบายความแค้นที่ฉินฮุ่ยขายชาติและสังหารแม่ทัพเยว่เฟยผู้รักชาติ โดยเริ่มสร้างมาตั้งแต่รัชกาลเฉิงฮว่าแห่งราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1475) สืบเนื่องมาจนถึงราชวงศ์ชิง และต่อมาจนกระทั่งปัจจุบัน รูปปั้นเหล่านี้ถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่หลายครั้ง โดยมีบันทึกว่าสร้างซ้ำแล้วซ้ำอีกเกือบสิบครั้ง ในยุคปัจจุบันรูปปั้นของฉินฮุ่ยและภรรยาเคยถูกทำลายในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมาแล้ว
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better