NVDA01 หัวใจแห่งยุค AI เบื้องหลังเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
ตลอดกว่า 25 ปีที่ผ่านมา ชื่อของ NVIDIA อาจเริ่มต้นในฐานะ ‘ขวัญใจเกมเมอร์’ ผู้สร้างการ์ดจอระดับตำนานที่ครองใจผู้เล่นทั่วโลก แต่เส้นทางของบริษัทไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่โลกแห่งความบันเทิง เพราะความสามารถของ GPU ที่ออกแบบมาเพื่อเรนเดอร์กราฟิกในเกม กลับกลายเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของอีกหนึ่งตลาดที่ใหญ่ และเติบโตเร็วที่สุดในโลกยุคใหม่ ตลาดปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ความบังเอิญที่ GPU เหมาะสมกับงานประมวลผลแบบขนาน (parallel processing) ทำให้ NVIDIA มองเห็นโอกาสในการขยายขอบเขตการใช้งานจากเกม สู่การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับ AI ได้อย่างเป็นธรรมชาติ งานฝึกโมเดล และงานประมวลผล AI ต้องการพลังการคำนวณมหาศาลแบบพร้อมกันหลายล้านชุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ GPU ทำได้ดีกว่า CPU หลายเท่า
การเปลี่ยนทิศทางนี้เองที่ทำให้บริษัทก้าวเข้าสู่บทบาท ‘หัวใจโครงสร้างพื้นฐาน AI ของโลก’ และยึดตำแหน่งใน AI Value Chain ชั้นโครงสร้างพื้นฐานในฐานะผู้ออกแบบชิป ที่ใช้บริการผลิตจาก TSMC และ Samsung ทำให้รักษาอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 70% โดยไม่ต้องลงทุนในโรงงานผลิตเอง
จากความได้เปรียบด้านฮาร์ดแวร์ NVIDIA ยังต่อยอดด้วยซอฟต์แวร์ CUDA ที่เปิดตัวในปี 2006 เพื่อปลดล็อกศักยภาพ GPU ให้ทำงานด้านการคำนวณทั่วไปได้เต็มที่ เดิมทีการใช้ GPU ทำงานที่ไม่ใช่กราฟิกนั้นยุ่งยากและไม่ยืดหยุ่น แต่ CUDA ทำให้โปรแกรมเมอร์สามารถใช้ภาษา C, C++, Python และอื่นๆ สั่งงาน GPU ได้โดยตรง ส่งผลให้ GPU ของ NVIDIA ถูกนำไปใช้ในงานวิจัยวิทยาศาสตร์ Simulation และโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน AI และ Data Center ทั่วโลก
ความเหนือชั้นของ CUDA ไม่ได้มาจากความเร็วเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจาก Ecosystem ที่ครบวงจรและการปรับแต่งอย่างต่อเนื่อง จนเกิด Lock-in Effect ที่ทำให้ลูกค้ายากจะเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีคู่แข่ง
การผสมผสานระหว่างฮาร์ดแวร์ระดับโลกและแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่ครอบคลุมนี้ ได้ผลักดันให้ NVIDIA เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รายได้รายไตรมาสเคยขยายตัวในระดับสามหลักแบบ YoY แม้ปัจจุบันจะชะลอมาสู่ระดับสองหลัก แต่ก็ยังสูงกว่าบริษัทเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์รายอื่นอย่างชัดเจน
ไตรมาสล่าสุดรายได้เพิ่มขึ้นถึง 69.2%YoY และ Bloomberg คาดว่าในไตรมาส พ.ค.-ก.ค. 68 (F2Q26) จะยังขยายตัวได้อีก 53%YoY แตะ 94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แรงหนุนหลักมาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ของกลุ่ม Hyperscaler อย่าง Microsoft, Amazon, Google, Meta และ Oracle
กระแสการลงทุนนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ระยะสั้น Bloomberg คาดว่าการลงทุนของ Hyperscaler จะเพิ่มจาก 194.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็น 435.2 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 หรือราว 83% ของ GDP ไทย และยังมีความต้องการจากผู้ให้บริการคลาวด์รายเล็ก (Neo cloud) ที่เน้นงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ยืนยันว่าความต้องการชิปประสิทธิภาพสูงของ NVIDIA ยังมีเส้นทางเติบโตอีกยาวไกล
อย่างไรก็ดี เส้นทางนี้ก็มีความท้าทาย โดยเฉพาะจากตลาดจีน ซึ่งคิดเป็นราว 12.5% ของรายได้รวม ลูกค้าหลักอย่าง Alibaba, Tencent และ ByteDance ใช้ชิป NVIDIA ในการสร้างแพลตฟอร์ม AI ขนาดใหญ่ แต่ในเมษายน 2025 สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามส่งออกชิปรุ่น H20 ไปยังจีนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ทำให้หุ้น NVIDIA ร่วงทันทีราว 10% แม้ในเดือนกรกฎาคม 2025 บริษัทจะกลับมาขาย H20 ได้อีกครั้ง แต่ต้องแลกกับการจ่าย 15% ของรายได้ในจีนให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ความเสี่ยงยังคงอยู่ทั้งจากความพยายามของจีนในการพัฒนาชิปในประเทศเพื่อลดการพึ่งพา และความกังวลเรื่อง backdoor แม้ NVIDIA จะปฏิเสธ รวมถึงแรงกดดันต่อมาร์จิ้นจากการแบ่งรายได้
ในมุมของการประเมินมูลค่า หลักทรัพย์บัวหลวงมองว่า แม้หุ้น NVIDIA ในปัจจุบันซื้อขายที่ Forward P/E ประมาณ 35 เท่า สูงกว่าคู่แข่งอย่าง AMD ที่ ราว 34 เท่า และค่าเฉลี่ยของกลุ่ม Magnificent 7 ที่ 27 เท่า (ไม่รวม Tesla ที่เป็น Outlier)
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาประกอบกับอัตราการเติบโต NVIDIA มีการเติบโตของกำไรหรือ Forward EPS ที่ก้าวกระโดด (เส้นสีแดง) ทำให้ Forward PEG Ratio (ราคาหุ้นเทียบกับการเติบโตของกำไรในอีก 12 เดือนข้างหน้า) ของ NVIDIA อยู่ราว 1 เท่า (เส้นฟ้า) ซึ่งต่ำกว่า AMD ที่ 1.1 เท่า และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม Mag 7 ที่ไม่รวม Tesla ที่ 1.6 เท่า หมายถึง นักลงทุนไม่ได้จ่ายแพงเกินไปเมื่อเทียบการเติบโต จึงอาจกล่าวได้ว่า หุ้น NVIDIA ไม่ได้แพงในเชิง PEG
Sources: Bloomberg, BLS Global Investing ณ วันที่ 15 ส.ค. 68
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า NVIDIA ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตชิป แต่เป็นผู้นำเทคโนโลยีที่สร้างทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อรองรับยุค AI อย่างครบวงจร แม้ Valuation จะสูง แต่ก็สอดคล้องกับการเติบโตที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนคือการทยอยสะสมเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว โดยเฉพาะหากปรับลงจากจุดสูงสุดราว 20-30% เพื่อเพิ่ม Margin of Safety และถือครองระยะยาวเพื่อรับประโยชน์จากเมกะเทรนด์ AI ที่ NVIDIA ยังคงครองตำแหน่งหัวขบวน
ในปัจจุบัน การลงทุนในหุ้นระดับโลกอย่าง NVIDIA ไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีหุ้นต่างประเทศให้ยุ่งยากอีกต่อไป เพราะสามารถลงทุนได้ง่ายในตลาดหุ้นไทย ผ่าน DR ‘NVDA01’ ที่ซื้อขายในสกุลเงินบาทบนแอป Streaming เหมือนซื้อหุ้นไทยทั่วไป ทำให้เข้าถึงโอกาสการเติบโตของผู้นำโครงสร้างพื้นฐาน AI ของโลกได้สะดวกและรวดเร็ว ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมของ DR ได้ที่ https://www.bualuang.co.th/financial-service/inav-lists/dr/dr01-inav
ภาพ:Antonio Bordunovi / Getty Images