MIND: ยุคนี้เต็มไปด้วยศัพท์เทคนิคใหม่ๆ เกี่ยวกับ ‘ปัญหาสุขภาพจิต’ แต่เวลาคุยกับคนที่คุณรัก ให้ ‘คุยภาษามนุษย์ปกติ’ จะดีที่สุด
ทุกวันนี้ผู้คนรู้จักศัพท์เทคนิคเกี่ยวกับ ‘ปัญหาสุขภาพจิต’ จำนวนมาก ในแง่หนึ่งก็ทำให้เรามีความเข้าใจผู้ป่วยมากขึ้น แต่อีกด้านมันก็เป็นดาบสองคมหากคนทั่วไปเริ่มนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเอามาใช้กับคนใกล้ตัว
ทั้งนี้คนจำนวนมากเวลารู้ศัพท์แสงพวกนี้เยอะๆ ก็จะเริ่มไปวินิจฉัยคนอื่น เริ่มไปแปะป้ายผู้คน และสำหรับคนที่ไม่รู้จักมันก็ไม่ใช่เรื่องดี แต่สำหรับคนใกล้ตัว มันคือหายนะ ไม่ว่าจะพูดออกมาหรือไม่ เช่น การเห็นคนรักของเราเศร้าโดยไม่ทราบสาเหตุ บางคนอาจจะบอกว่า ‘เป็นซึมเศร้า’ ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาอาจมีเหตุผลที่ไม่ได้เล่าให้เราฟัง หรือเห็นใครอารมณ์แปรปรวน ก็อาจบอกว่า ‘เป็นไบโพลาร์’ ทั้งที่จริงแล้วเขาอาจแค่ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือเราอาจมองว่าการแสดงออกของคนรักเรา ‘เป็นพวกหลงตัวเอง’ ทั้งที่จริงๆ เราก็แค่ไม่เห็นด้วย หรือมากกว่านั้น บางทีเราก็อาจมองว่าคนรักเรา ‘gaslight’ เรา ทั้งที่เขาก็แค่พูดความจริงจากมุมของเขาเท่านั้น
ศัพท์แสงทั้งหมดที่ว่ามานี้ในยุคหลังๆ พวกนักบำบัดเริ่มสังเกตว่าคนทั่วไปเริ่มนำมาใช้แบบไม่รู้ตัว และเขามองว่าไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์
แล้วต้องแก้อย่างไร?
นักบำบัดบอกว่าเราต้องพยายามหยุดใช้คำพวกนี้ และพูดในระดับข้อเท็จจริง และไปเน้นที่ความรู้สึกของเราแทน เช่นหากเห็นว่าคนรักเรากำลังหดหู่ ก็แค่เข้าไปถามว่าเขาเป็นอะไร เห็นเขาอารมณ์แปรปรวนเหวี่ยงใส่เรา เราก็บอกไปตรงๆ ว่าเราไม่ชอบ ไม่ต้องไปตัดสินว่าเขาเป็นอะไร เห็นเขาพูดอะไรแบบที่เราไม่เห็นด้วย ถ้ามันทำให้เรารู้สึกไม่ดี เราก็แค่บอกเขาว่าเรารู้สึกไม่ดีที่เขาพูดแบบนั้น ไม่ต้องไปวินิจฉัยว่าที่เขาเป็นแบบนั้น เขาเป็นอะไร
การทำแบบนี้มันคุยกันต่อง่ายกว่าการที่เราแปะป้ายว่าเขามีภาวะโรคใดหรือปัญหาด้านสุขภาพจิต เพราะนั่นคือการ ‘ตัดสิน’ เขาไปแล้วว่าเขาเป็นบางสิ่ง โดยที่เราไม่ได้มีความรู้พอจะวินิจฉัยอาการด้วยซ้ำ และที่สำคัญกว่านั้น เขาจะเป็นหรือไม่เป็นภาวะใดๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับความขัดแย้งที่เราเผชิญกันอยู่ ที่เป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่าที่ว่าใครจะเป็นอะไร
อันที่จริงนี่ก็เป็นหลักการเดียวกับการ ‘เขียนหนังสือที่ดี’ เพราะทุกคนที่เรียนรู้ศัพท์แสงใหม่ๆ จะสนุกกับการใช้ศัพท์แสงประหลาดๆ เสมอ แต่ข้อเขียนที่เต็มไปด้วยศัพท์แสงพวกนี้ ‘โดยไม่จำเป็น’ ไม่ใช่ข้อเขียนที่ดี เพราะข้อเขียนที่ดีในแง่ของการสื่อสารกับมนุษย์นั้นคือการใช้ภาษามนุษย์ทั่วไปให้มากที่สุด และให้ปลอดการใช้ศัพท์เทคนิคประหลาดๆ ยากๆ โดยไม่จำเป็น
เช่นเดียวกัน ในความสัมพันธ์ การพูดอะไรต่อกัน สิ่งที่มันเป็นจริงในทางเทคนิคหรือไม่มันสำคัญน้อยกว่าเราสามารถสื่อสารสิ่งที่เรารู้สึกถึงกันได้หรือไม่ และศัพท์แสงประหลาดที่มีมากมายในยุคสมัยนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยที่เราจะนำมาพูดคุยกันในระหว่างความสัมพันธ์
เพราะสุดท้าย การบอกอีกฝ่ายว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำ สิ่งที่อีกฝ่ายเป็นนั้นเรียกว่าอะไร มันไม่ได้สำคัญอะไรเลยถ้าเราต้องการให้ความสัมพันธ์นั้นไปต่อ เพราะสิ่งที่คนรักที่ใส่ใจกันต้องการจะรู้มันคือประเด็นว่าเรา ‘รู้สึกอย่างไร?’ หรือ ‘จะเอาอย่างไร?’ มากกว่า