SOCIETY: สำรวจ 4 ประเด็น จากคดีธำรงวินัย ‘นตท.เมย-ภคพงศ์’ แม้คำพิพากษาจากศาลทหารจะถึงที่สุด แต่ความยุติธรรมยังต้องไปต่อ?
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 จังหวัดปราจีนบุรี ได้มีนัดอ่านคำพิพากษาชั้นศาลฎีกาในคดีการเสียชีวิตของ ‘เมย-ภคพงศ์ ตัญกาญจน์’ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 จากการถูกธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ในโรงเรียนเตรียมทหารเมื่อปี 2560
ศาลทหารสูงสุด มีคำพิพากษาชั้นฎีกาลงโทษจำคุกรุ่นพี่นักเรียนเตรียมทหาร 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท ในฐานทำร้ายร่างกาย และลงโทษโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ลงอาญาไว้ 2 ปี โดยศาลเห็นว่า “เนื่องจากจำเลยอายุยังน้อย ยังไม่เคยได้รับโทษ การจะลงโทษจำเลยไปก็ไม่เป็นประโยชน์ ให้โอกาสปรับปรุงตนรับราชการและรับใช้ชาติต่อไป”
ถือเป็นอันสิ้นสุดในแง่ของคดีความที่ทางครอบครัวพยายามต่อสู้มาโดยตลอด แม้จะต้องเผชิญความยากลำบากนานัปการตลอดระยะเวลา 8 ปี ดังที่ทางครอบครัวได้บอกกล่าวผ่านสื่อต่างๆ
แต่เสียงอึงอลต่อคำพิพากษาที่เกิดขึ้น ดังเป็นเสียงที่ย้ำเตือนและไถ่ถามต่อประเด็นต่างๆ ที่สืบเนื่องคดีดังกล่าว แม้ขณะนี้อาจจะหายไปชั่วขณะหลังสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ประเด็นเหล่านี้ล้วนยังจำเป็นต้องกล่าวถึงจนกว่าสังคมจะได้รับความกระจ่าง เพราะนี่คือบรรทัดฐานด้านความยุติธรรมของสังคมไทยและการใช้อำนาจของหน่วยงานด้านความมั่นคงนับจากนี้
[ข้อกังขาต่ออำนาจ การพิจารณาคดี และกระบวนการยุติธรรมของ ‘ศาลทหาร’]
สิ่งที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือสัดส่วนโทษที่รุ่นพี่นักเรียนเตรียมทหารได้รับ เพราะความเข้าใจของปุถุชนทั่วไปย่อมเห็นว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวจนมีผู้ถึงแก่ความตายควรได้รับการลงโทษมากกว่านี้ หากเปรียบเทียบกับกฎหมายอาญา มิหนำซ้ำศาลยังให้โอกาสรุ่นพี่เตรียมทหารรับราชการต่อไป
ทำให้สังคมมีการตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่การอำนวยความยุติธรรมของฝ่ายตุลาการในคดีนี้ นั่นคือ ‘ศาลทหาร’
เหตุที่ศาลทหารสามารถเข้ามาทำหน้าที่ตัดสินในคดีดังกล่าวได้ เนื่องจาก ‘พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498’ ระบุเอาไว้ในมาตรา 13 ว่า “ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาวางบทลงโทษผู้กระทำผิดต่อกฎหมายทหารหรือกฎหมายอื่นในทางอาญา ในคดีซึ่งผู้กระทำผิดเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด” ซึ่ง ‘นักเรียนเตรียมทหาร’ คือบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ตามมาตรา 16 (4)
นอกจากนี้ กระบวนการยุติธรรมหรือโครงสร้างอำนาจของศาลตามกฎหมายดังกล่าวก็มีข้อกังขาอยู่หลายประการ เช่น ตามมาตรา 54 วรรคสอง ระบุว่า‘จำเลย’ สามารถแต่งตั้งทนายได้ ขณะที่ฝ่ายโจทก์ หากไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ตามกฎหมาย มาตรา 49 ระบุว่า “ต้องมอบคดีให้อัยการทหารเป็นโจทก์” ในการฟ้อง อีกทั้งยังพบว่าตุลาการของศาลทหารบางส่วนยังไม่จำเป็นต้องจบนิติศาสตร์ เพียงแค่มียศชั้นสัญญาบัตรเท่านั้น เป็นต้น
ทั้งนี้ล่าสุด ศาลทหารได้มีเอกสารชี้แจงในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ระบุว่า “มารดาของผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับจำเลย ข้อหาทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295
“พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องในความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 12 ได้ฟ้องจำเลยตามความเห็นของพนักงานสอบสวน”
มาตรา 295 ตามประมวลกฎหมายอาญา ระบุอัตราโทษว่า “ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ต่างจากอัตราโทษตามมาตรา 290 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
แต่การร้องทุกข์ตามมาตรา 295 เป็นการร้องทุกข์จากกรณีการธำรงวินัยที่เกิดขึ้นในวันที่ 22 สิงหาคม 2560 ไม่ใช่การธำรงวินัยที่เป็นเหตุให้นำไปสู่การเสียชีวิตในวันที่ 17 ตุลาคม 2560 จึงไม่ใช่การดำเนินคดีตามมาตรา 290 แต่เป็นการดำเนินคดีตามมาตรา 295 ตามการชี้แจงของเอกสารดังกล่าว
ส่วนสำหรับฐานความผิดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 290 เอกสารดังกล่าวระบุว่า “ปัจจุบันยังไม่มีการฟ้องร้องคดีต่อศาลทหาร”
ดังนั้นจึงเกิดคำถามขึ้นว่าเพราะเหตุใดถึงไม่มีการฟ้องตามมาตรา 290 จากเหตุที่เกิดในวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ในระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา
[วัฒนธรรมธำรงวินัย-ปกป้องพวกพ้อง-ลอยนวลพ้นผิด]
“มันมีคำถามเล็กๆ ว่า ศาลบอกจำเลยมีโอกาสทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ แล้วถ้าลูกพี่มีชีวิตอยู่ล่ะ เขาสามารถทำประโยชน์ให้กับชาติได้ไหม?…แต่ลูกพี่ไม่ได้มีโอกาส” นี่คือเสียงสะท้อนจากผู้เป็นแม่ ‘สุกัญญา ตัญกาญจน์’ ภายหลังรับฟังคำตัดสินของศาล
จึงเกิดเสียงสะท้อนต่อศาลที่มีทหารเป็นตุลาการว่าเหตุใดจึงยังปล่อยให้รุ่นพี่ เตรียมทหารในวันนั้นยังคงสามารถรับราชการในวันนี้ได้
เช่น วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ระบุว่า “กองทัพจะให้คนที่ลุแก่อำนาจทำร้ายเพื่อนทหารร่วมชาติจนถึงแก่ความตาย เป็นทหารต่อไปจริงๆ หรือครับ พฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่ทหาร แต่เป็นพฤติกรรมโจร การเอาโจรมาเป็นทหารไม่มีทางทำให้กองทัพเป็นกองทัพที่ดีได้”
แต่นี่ก็ไม่ใช่เพียงกรณีเดียวที่มีการตั้งคำถามต่อศาลทหารในฐานะ ‘เครื่องมือ’ ที่ปล่อยให้ ‘วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด’ และ ‘การปกป้องพวกพ้อง’ ยังคงดำรงอยู่
เช่น ในกรณีนายทหารยศร้อยตรีรายหนึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาพยายามฆ่า จากการทำร้ายร่างกายภรรยาที่เป็นพนักงานข้าราชการประจำค่ายแห่งหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อปี 2559 โดยสื่อหลายแห่งรายงานอาการของเธอโดยใช้คำเดียวกันว่า ‘บาดเจ็บสาหัสปางตาย’
แต่คดีดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงประกาศใช้กฎอัยการศึก คดีจึงเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาลทหาร
โดยศาลมณฑลทหารบกที่ 15 อ่านคำพิพากษาในปี 2564 ตัดสินให้นายทหารรายดังกล่าวได้รับโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน เนื่องจากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่านายทหารรายดังกล่าวไม่มีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหาย แต่เป็นการทำร้ายร่างกายเนื่องจากบันดาลโทสะ ทั้งนี้ศาลยังระบุว่า “จำเลยไม่เคยกระทำความผิดและถูกลงโทษ ให้รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 12,500 บาท”
ในขณะผู้เสียหายต้องใช้เวลารักษาตัวอยู่นานถึง 3 เดือนเต็ม เพราะมีอาการทางสมอง พูดช้า คิดช้าลง และต้องเดินทางไปศัลยกรรมที่ประเทศเกาหลี เนื่องจากใบหน้าเสียโฉม
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านอกจากการกล่าวถึงในแง่กฎหมายแล้ว จำเป็นที่จะต้องพูดถึง ‘วัฒนธรรม’ ที่ฝังอยู่ในกองทัพที่อนุญาตให้ใช้ความรุนแรงและสร้างความไม่ปลอดภัยต่อประชาชนหรือกระทั่งคนภายในองค์กรด้วยกันเอง
เพราะภายหลังจากกรณีของ นตท.ภคพงศ์ แม้ว่าบริบทของสังคมจะเปลี่ยน เช่น ประเทศมีการบังคับใช้ ‘พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565’ และยกเลิก ‘ศูนย์ธำรงวินัย’ ในทุกมณฑลทหารบก แต่กรณีการทำร้ายร่างกายในนามของการซ่อมวินัยจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตก็ยังคงปรากฏให้เห็น
[แพทย์และอวัยวะที่หายไป?]
สิ่งหนึ่งที่ครอบครัวยังคาใจ นั่นคืออวัยวะภายในที่หายไปของภคพงศ์ หลังครอบครัวได้รับร่างแล้วนำไปชันสูตรรอบที่ 2 จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ (นิติเวช) โรงพยาบาลธรรมศาสตร์
แม้ภายหลังแพทย์จากศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้าจะออกมาระบุว่าทางสถาบันเป็นผ่าผู้เก็บไว้เพื่อตรวจชันสูตร และพนักงานสอบสวนได้นำอวัยวะที่หายไปมาให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง
แต่ผลปรากฏว่าเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 สมณ์ พรหมรส ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ออกมาเปิดเผยว่า ผลตรวจ DNA ของอวัยวะจากคณะแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี “พบว่าเนื้อเยื่อจากอวัยวะต่างๆ มีสารพันธุกรรมในปริมาณและคุณภาพที่ไม่เหมาะสมในการตรวจวิเคราะห์ ทำให้ไม่สามารถระบุรูปแบบสารพันธุกรรม เพื่อนำมาเปรียบเทียบว่าเป็นของบุคคลใดได้”
เนื่องจากอวัยวะหลายส่วนที่ถูกส่งมาได้ผ่านการดองน้ำยาฟอร์มาลีนจนเสื่อมสลาย จนไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าอวัยวะดังกล่าวใช่ของภัคพงศ์หรือไม่ และส่งผลต่อการที่ไม่สามารถตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงได้ แม้ว่าจะมีผลการชันสูตรร่างกายที่พบว่ามีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงก็ตาม
นอกจากนี้ยังมีรายงานถึงการตั้งข้อสังเกตของครอบครัวว่า เพราะเหตุใดตำรวจออกหมายเรียกนายแพทย์คนแรกที่ผ่าตัดภายหลังครอบครัวแจ้งความถึงสองครั้ง แต่กลับไม่ยอมออกหมายจับ ทั้งที่นายแพทย์คนนี้ไม่ไปพบพนักงานสอบสวน แต่ภายหลังมีข้อมูลว่าแพทย์รายดังกล่าวเพิ่งไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเมื่อไม่นานมานี้
[สำนวนตำรวจพลิก?]
อีกหนึ่งสถาบันที่ต้องกล่าวถึงนอกจากสถาบันทหารแล้ว ยังจำเป็นต้องกล่าวถึงสถาบันตำรวจ ผู้มีหน้าที่ในการ ‘สอบสวน’ และทำความเห็นพร้อมสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โดยคดีดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 สำนวน สำนวนแรกเป็นเรื่องการธำรงวินัยในเดือนสิงหาคม 2560 ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสถานีตำรวจภูธรบ้านนา จังหวัดนครนายก
ส่วนอีกสำนวนเป็นเรื่องการชันสูตรพลิกศพ อยู่ในความรับผิดชอบของสถานีตำรวจภูธรเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก
ในสำนวนแรกพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องเมื่อปี 2561 ซึ่งนำไปสู่การดำเนินคดีตามมาตรา 295 ของประมวลกฎหมายอาญาและมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม
แต่สำนวนที่ 2 เพิ่งมีรายงานภายหลังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม โดยการให้สัมภาษณ์ของครอบครัว สุกัญญาผู้เป็นแม่เล่าว่ามีการเรียกครอบครัวไปฟังผลการชันสูตรร่างกายของทางสถานีตำรวจภูธรเมืองนครนายก โดยไปพบ นพ.สุรณรงค์ ศรีสุวรรณ ผู้อำนวยการกองนิติวิทยาศาสตร์บริการ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และทราบว่าการเสียชีวิตเป็นอย่างไร
สุกัญญาเล่าทั้งน้ำตาด้วยความอัดอั้นว่า “แต่สุดท้ายสำนวนกลับพลิก รู้ไหมว่าตำรวจเจ้าของสำนวนมาพูดกับพี่ว่าไง…คุณแม่เข้าใจผมนะ ลูกผมยังเล็ก ผมยังไม่อยากตาย”
หากสิ่งที่ผู้เป็นแม่สะท้อนออกมาเป็นเรื่องจริง ย่อมต้องตั้งคำถามไปยังกระบวนการทำสำนวนของตำรวจว่ามีผู้ใดแทรกแซงจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง และทำให้ยังไม่ปรากฏการดำเนินคดีตามมาตรา 290 ของประมวลกฎหมายอาญา