อัดรัฐบาล ใช้กัญชาเป็นเครื่องมือการเมือง รายย่อยพัง-เด็กเข้าถึงง่าย
จากกรณี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2568 ซึ่งเป็นการปรับปรุง ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) ฉบับเดิมที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นมานั้น
ล่าสุดนายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุถึงประกาศดังกล่าวว่า “สรุปสั้นๆว่า ประกาศกระทรวงของสมศักดิ์ทำหน้าที่ 2 อย่าง
1. กวาดล้างร้านขนาดเล็กขนาดกลางให้หมด วิธีที่รัฐใช้มาตลอดในการกวาดล้างคือ การกำหนดมาตรฐาน วิธีการกำหนดมาตรฐานที่คนไทยเชื่อถือคือสถาปนาผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาให้มีอำนาจวินิจฉัย ประกาศกระทรวงของสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้กำหนดมาตรฐานการปลูก ทำให้กัญชาทั้งหมดที่ปลูกมาผิดทั้งหมด เป็นขบวนการกวาดล้างภายใต้ความเห็นชอบของสังคม เพื่อประเคนมูลค่ากัญชาปีหนึ่งหลายหมื่นล้านให้ทุนใหญ่ หากนึกไม่ออกให้นึกถึงธุรกิจเบียร์
2.ประกาศฉบับนี้จะทำให้เด็กและเยาวชนซื้อกัญชาอย่างถูกกฎหมาย เพราะตัดมาตรการจำกัดอายุทิ้งไป อย่าไปคิดว่ามาตรการที่ต้องมีใบแพทย์สั่ง คือ มาตรการที่มีประสิทธิภาพ ปกป้องเด็กและเยาวชน เพราะใบแพทย์หาง่ายเหมือนปอกกล้วย ตอนนี้ก็มีการโฆษณาขายใบกันแล้ว หรือบางคนบอกว่าออกให้ฟรี
เมื่อร้านตายหมด จะเกิดกลไกใหม่ขึ้นมาภายใต้กฎหมายยาเสพติด คราวนี้จะจำกัดของจริง เพราะประชาชนทั่วไปจะปลูกกัญชาไม่ได้ สิทธินั้นตกแก่ผู้เชี่ยวชาญ และมีแต่ทุนใหญ่ที่จะซื้อตัวผู้เชี่ยวชาญให้มาแขวนป้ายหน้าร้าน มูลค่าหลายหมื่นล้านเสร็จทุนใหญ่แบบเดิม เหมือนกับหลายเรื่องที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ ประสิทธิ์ชัย ให้สัมภาษณ์ระบุว่า หลังจากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล รัฐมนตรีสมศักดิ์ ปล่อยมาตรการกวาดล้าง 3 อย่างภายในไม่กี่วัน ทั้งตรวจร้าน ออกประกาศกระทรวง และประกาศจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด
แสดงว่าเรื่องนี้เป็นวิกฤตการเมือง ไม่ใช่วิกฤตข้อเท็จจริง เพราะตอนนี้ร้านกัญชาปิดตัวจำนวนมาก รายได้ลดลง ร้านแทบไม่รอด ไม่มีผู้ใช้หน้าใหม่เพิ่มขึ้น มีแต่วัย 40 ปีขึ้นไปที่เคยใช้มาก่อน
ทั้งนี้มองว่า หากรัฐมนตรีจริงจังกับการควบคุมกัญชาจริง ๆ ทำไมไม่ออกมาตรการใด ๆ มาก่อนหน้านี้เลย ทั้งที่เป็นรัฐมนตรีมานานแล้ว กลับมาลงมือทันทีหลังพรรคการเมืองคู่แข่งถอนตัวจากรัฐบาล
“นี่คือการใช้กัญชาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ไม่ใช่การปกป้องประชาชนอย่างแท้จริง”