Honda แย้มอนาคต Civic Type R ขุมพลังไฟฟ้า อาจจะมาถ้ามีคนต้องการ
ท่ามกลางที่กระแสของรถยนต์ประสิทธิภาพสูงที่ยังไปต่อแบบเรื่อยๆ แต่รถยนต์ไฟฟากลับมีความไม่แน่นอนทำให้หลายค่ายอาจจะต้องปรับแผน เช่นเดียวกับ Honda ที่มีรายงานว่ากำลังเบนเข็มหันไปทุ่มเทให้กับรถยนต์ไฮบริดมากขึ้น แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้ตัวแรงอักษรแดง ก็ยังมีข่าวดีให้ใจชื้น เมื่อผู้บริหารระดับสูงแย้มว่าอนาคตของ Civic Type R ขุมพลังไฟฟ้า นั้นยังไม่ถูกปิดตาย
นิยามของ Type R ไม่ได้ผูกติดกับเครื่องยนต์เทอร์โบ
ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อยานยนต์ Auto Express นายโทโมยูกิ ยามากามิ (Tomoyuki Yamagami) หัวหน้าโครงการ Honda Prelude ได้เปิดประตูทิ้งไว้สำหรับ Type R ในยุคไฟฟ้า เขากล่าวว่า "ตราสัญลักษณ์ Type R สามารถเป็นอะไรก็ได้ที่ตลาดต้องการ" และย้ำว่า "มันไม่ได้ผูกติดอยู่กับขุมพลังเทอร์โบเสมอไป"
ยามากามิชี้ว่า หัวใจสำคัญของตราสัญลักษณ์ Type R คือการผลักดันสมรรถนะการขับขี่และไดนามิกของรถให้ไปถึงขีดสุด ดังนั้น ไม่ว่าขุมพลังจะเป็นอะไรก็ตาม หากมันสามารถตอบสนองปรัชญาดังกล่าวได้ ก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับอักษรสีแดงในตำนานไปครอบครอง
ความท้าทาย จะทำอย่างไรให้ Type R ไฟฟ้ายัง "ขับสนุก"?
อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ Type R ไฟฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนหน้านี้ นายโทชิฮิโระ อากิวะ (Toshihiro Akiwa) หัวหน้าศูนย์พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของ Honda ได้ตั้งคำถามสำคัญว่า "ทีมวิศวกรจะแน่ใจได้อย่างไรว่า Type R ไฟฟ้าจะยังคงเป็นรถที่ขับสนุก (Joy to drive) อยู่"
เนื่องจากน้ำหนักของแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าที่เข้ามาแทนที่เครื่องยนต์สันดาป จะเปลี่ยนแปลงไดนามิกและสมดุลของรถไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการจูนอัพให้รถยังคงความเฉียบคมและมอบประสบการณ์ขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Type R ได้ แม้กระนั้น เขาก็ยอมรับว่า Honda ยังไม่ล้มเลิกความพยายามในเรื่องนี้
แต่โลกความจริงคือ…ยังอีกไกล
แม้จะมีสัญญาณบวก แต่ Type R ไฟฟ้าก็น่าจะยังเป็นเรื่องของอนาคตที่อีกยาวไกล ตราบใดที่ความต้องการของตลาดยังไม่ชัดเจน Honda ก็คงไม่ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) อย่างแน่นอน ซึ่งเห็นได้จากการที่ Honda ได้ตัดสินใจ ยุติโครงการพัฒนารถ SUV ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ไปแล้วก่อนหน้านี้
ดังนั้น แม้ว่าอนาคตของ Type R ไฟฟ้าจะยังไม่แน่นอน แต่การที่ผู้บริหารยังเปิดประตูทิ้งไว้ ก็ถือเป็นข่าวดีให้แฟนๆ ได้ใจชื้น และต้องจับตาดูกันต่อไปว่าทิศทางของตลาดและเทคโนโลยีจะพาตำนานบทนี้ไปในทิศทางใด