หมอฆนัท เผยเหตุไทย 'ไม่อาจปฏิเสธ' จัดการศพทหารเขมร เคารพศักดิ์ศรีผู้ตาย ปล่อยไว้อาจเกิดโรคระบาด
หมอชี้ ไทยไม่อาจปฏิเสธการจัดการศพทหารเขมรได้ เหตุ อยู่บนแผ่นดินไทย-เคารพศักดิ์ศรีผู้ตาย-ปล่อยไว้ อาจเกิดโรคระบาด
นพ.ฆนัท ครุธกูล ในฐานะนายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ กล่าวว่า ในสถานการณ์ที่ยังคงมีความตึงเครียดและปะทะประปรายตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะในบริเวณปราสาทตาควาย ตาเมือนธม และตาเมือนโต๊ด ซึ่งตั้งอยู่ภายในเขตแดนของประเทศไทย ได้มีทหารกัมพูชาหลายรายเสียชีวิต และยังไม่มีการเก็บกู้หรือรับศพกลับประเทศ แม้ฝ่ายไทยจะพยายามประสานผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อส่งคืนศพตามหลักมนุษยธรรม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีท่าทีตอบรับจากรัฐบาลกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
นพ.ฆนัท กล่าวว่า สาเหตุที่ประเทศไทย ไม่สามารถปฏิเสธการจัดการศพได้ เพราะ 1. เพราะศพอยู่บนผืนดินของไทย ประเทศไทยในฐานะรัฐเจ้าของพื้นที่มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องจัดการศพที่อยู่ในเขตอธิปไตยของตน ไม่ว่าศพนั้นจะเป็นของฝ่ายใด การเพิกเฉยจะทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตจากนานาชาติในฐานะรัฐที่ละเลยสิทธิมนุษยชน
2. เพื่อเคารพศักดิ์ศรีของผู้ตาย ตามหลักมนุษยธรรม ซึ่ง การปล่อยให้ศพทหารกัมพูชาเน่าเปื่อย ถูกกินโดยสัตว์ หรือกลายเป็นภาพที่บั่นทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้น ขัดต่อจารีตของไทยเอง และยังขัดต่อหลักสากลในด้านสิทธิของผู้เสียชีวิต
นพ.ฆนัท กล่าวว่า 3. เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อ โดย ศพที่เน่าเปื่อยในพื้นที่ป่าเขตร้อน มีโอกาสเป็นแหล่งขยายพันธุ์ของเชื้อโรค โดยเฉพาะจากแมลงวัน หนู หรือการรั่วไหลของสารคัดหลั่งจากศพลงแหล่งน้ำ อาจนำไปสู่โรคฉี่หนู หรือ Leptospirosis, ไข้เลือดออก, อหิวาต์ ฯลฯ และ 4.เพื่อดำเนินการตามอนุสัญญาเจนีวา 1949 (ฉบับที่ 1 และ 3)
โดยอนุสัญญา ฉบับดังกล่าว ระบุชัดเจนว่า รัฐคู่สงครามต้องจัดการศพของทหารฝ่ายตรงข้ามอย่างเหมาะสม และพยายามแจ้งข้อมูลต่อฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเก็บข้อมูลอัตลักษณ์อย่างเป็นระบบ
สำหรับแนวทางการดำเนินการจัดการศพ ของประเทศไทย นั้นในฐานะแพทย์คนหนึ่ง ตนขอเสนอแนะ ต่อไปนี้
1. ประกาศท่าทีอย่างเป็นทางการ ว่าไทยมีเจตนารมณ์ในการจัดการศพทหารกัมพูชาอย่างมีมนุษยธรรม
ยืนยันว่า พื้นที่ที่พบศพอยู่ในเขตแดนไทย ไม่ใช่การรุกล้ำ พร้อมทั้งเชิญฝ่ายกัมพูชา หรือองค์กรกลางอย่าง ICRC เข้าร่วมสังเกตการณ์
2. ดำเนินการจัดการตามมาตรฐานสากล โดย จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจประกอบด้วย หน่วยเก็บกู้ระเบิด (EOD) หน่วยแพทย์นิติเวช/สาธารณสุข หน่วยประสานต่างประเทศ/สิทธิมนุษยชน โดยต้องสวนใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE ) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และป้องกันพาหะนำโรค พิสูจน์อัตลักษณ์เบื้องต้น (ภาพถ่าย, DNA, หมายเลขประจำตัว) ฝังศพในพื้นที่ควบคุม พร้อมป้าย/พิกัดชัดเจน
3. บันทึกและแจ้งข้อมูลอย่างโปร่งใส โดยทำบันทึกภาพ-พิกัด GPS-บันทึกคำชี้แจงเหตุการณ์
ส่งเอกสารต่อ ICRC, สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN OHCHR) สื่อสารต่อประชาคมอาเซียนว่าเป็นการดำเนินการเพื่อรักษามาตรฐานมนุษยธรรมในภูมิภาค
4. เตรียมพร้อมหากเกิดการบิดเบือนหรือโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามโดยทำการสื่อสารเชิงรุกว่าไทยจัดการศพเพราะมนุษยธรรม ไม่ใช่การยอมรับหรือยอมแพ้ หากมีฝ่ายใดบิดเบือนว่าไทย “ทอดทิ้งศพ” ให้ชี้แจงด้วยเอกสาร–ภาพถ่าย–รายงานการปฏิบัติงานจริง
เมื่อถามว่า หากฝ่ายกัมพูชา ยังไม่ร่วมมือ ไทยควรทำอย่างไร? นพ.ฆนัท กล่าวว่า ยังคงต้องจัดการต่อ เพราะ ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ศพอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย ถ้าไม่ดำเนินการ อาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน
“สิ่งที่ควรดำเนินควบคู่กัน คือ ขอความร่วมมือจาก องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ICRC, UNHCR หรือ ASEAN Human Rights Body เสนอให้ประชาคมอาเซียนหารือร่วม วางกรอบเวลา เช่น ภายใน 7 วัน/30 วัน) ก่อนที่รัฐเจ้าบ้านจะต้องจัดการศพเอง หากฝ่ายตรงข้ามเพิกเฉย ให้จัดการศพแบบ ผู้ไม่ทราบอัตลักษณ์พร้อมเก็บข้อมูลหลักฐานไว้ การจัดการศพอย่างเหมาะสมคือการรักษาเกียรติของรัฐไทย” นพ.ฆนัท กล่าว
นพ.ฆนัท กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ควรปล่อยให้ “ศพทหารกัมพูชาในเขตไทย” กลายเป็นภาพบาดตาที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้ การจัดการอย่างมีขั้นตอน ชัดเจน และสอดคล้องกับหลักสากล ไม่เพียงแต่รักษาภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก แต่ยังเป็น การแสดงออกถึงจริยธรรมในรัฐอารยะ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : หมอฆนัท เผยเหตุไทย ‘ไม่อาจปฏิเสธ’ จัดการศพทหารเขมร เคารพศักดิ์ศรีผู้ตาย ปล่อยไว้อาจเกิดโรคระบาด
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th