คะแนนนิยม “ปธน.เกาหลีใต้” พุ่ง หลังปิดดีลการค้ากับสหรัฐ
คะแนนนิยม "ปธน.เกาหลีใต้" พุ่ง ได้รับแรงหนุนจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ ที่ลดภาษีนำเข้าสินค้าลงเหลือ 15% ส่งผลให้คะแนนนิยมขยับขึ้นเป็น 63.3% แต่ต้องรับศึกหนักในประเทศเรื่องภาษีนักลงทุน
วันที่ 4 สิงหาคม 2568 เวลา 09.01 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จากการสำรวจดังกล่าวจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม ถึง 1 สิงหาคม โดยได้รับมอบหมายจากสื่อท้องถิ่นฉบับหนึ่ง พบว่าคะแนนนิยมของอี แจ-มยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเส้นตาย โดยผลสำรวจจาก Realmeter ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ระบุว่าคะแนนความนิยมของอีเพิ่มขึ้นจาก 61.5% เป็น 63.3% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
ข้อตกลงการค้าที่ประกาศเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม กำหนดให้ภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากเกาหลีใต้ไปยังสหรัฐอยู่ที่ระดับ 15% ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับอัตราของญี่ปุ่น คู่แข่งสำคัญในภูมิภาค และนับเป็นหนึ่งในอัตราที่ต่ำที่สุดในเอเชีย
การเจรจาภาษีดังกล่าวถือเป็นบททดสอบทางการทูตระดับสูงครั้งแรกของอี แจ-มยอง ซึ่งยังอยู่ในช่วงฮันนีมูนทางการเมืองหลังเพิ่งชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ชัยชนะของเขานับเป็นจุดสิ้นสุดของช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวาย หลังจากอดีตประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง เนื่องจากความล้มเหลวในการพยายามประกาศกฎอัยการศึก
อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีอียังคงเผชิญความเสี่ยงหลายประการ โดยเฉพาะรายละเอียดของข้อตกลงที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจา เช่น กองทุนมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเกาหลีใต้ที่ตั้งใจไว้สำหรับการลงทุนในสหรัฐฯ นอกจากนี้อีอาจเผชิญแรงกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม และจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อเป็นค่ารักษากำลังทหารสหรัฐฯ ที่ประจำการในเกาหลีใต้ โดยทั้งสองฝ่ายมีแผนจะจัดการประชุมสุดยอดในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
หลังจากปิดดีลด้านการค้าได้แล้ว ความท้าทายถัดไปที่ประธานาธิบดีอีต้องเผชิญคือสถานการณ์ในประเทศ เมื่อนโยบายของรัฐบาลที่มีแผนจะขึ้นภาษีนักลงทุนและภาคธุรกิจได้ทำให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ชะลอตัวลงอย่างกะทันหัน
พรรคประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ได้เสนอแนวทางทบทวนแผนดังกล่าว หลังจากที่มีประชาชนมากกว่า 110,000 รายร่วมลงชื่อในคำร้องคัดค้านการปฏิรูปภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ ซึ่งสร้างความเสี่ยงว่าอาจก่อให้เกิดกระแสไม่พอใจต่อรัฐบาลใหม่ที่เพิ่งดำรงตำแหน่งมาได้เพียง 2 เดือน
อ้างอิง : bloomberg.com