โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

'แพ้ยา' อันตรายถึงชีวิต เกิดขึ้นได้ทุกคน อาการแบบไหน? ต้องระวัง

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เมื่อพูดถึงการใช้ยา หลายคนอาจคิดว่าเพียงกินยาตามแพทย์สั่งก็เพียงพอแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า “แพ้ยา” เป็นปัญหาทางการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน หากเกิดอาการแพ้ยารุนแรงขึ้นมาแล้วไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

บทความนี้จะพาไปรู้จักสาเหตุอาการ วิธีป้องกัน และวิธีดูแลรักษาเมื่อเกิดผื่นแพ้ยา เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักปลอดภัยจากภัยเงียบที่อันตรายนี้

แพ้ยา เกิดจากอะไร ?

การแพ้ยา คือ ปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อสารในตัวยาอย่างผิดปกติ เมื่อร่างกายมองว่ายานั้นเป็นสิ่งแปลกปลอม แม้ว่าจะเป็นยาที่ใช้รักษาโรคก็ตาม ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคน บางรายมีแค่อาการคันเล็กน้อย ขณะที่บางรายอาจมีผื่นขึ้นทั้งตัว หรือมีอาการรุนแรงถึงขั้นระบบหายใจล้มเหลว

ปฏิกิริยานี้มักเกิดหลังจากได้รับยาครั้งแรกแล้วมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการสร้างแอนติบอดีที่จดจำตัวยา เมื่อใช้ยานั้นซ้ำในอนาคต ร่างกายจึงตอบสนองอย่างรุนแรงมากขึ้น การแพ้ยาไม่ใช่ผลข้างเคียงของยา แต่เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่ต้องเฝ้าระวัง

ผื่นแพ้ยา เป็นหนึ่งในอาการแพ้ยาที่พบบ่อยที่สุด โดยแสดงออกทางผิวหนังในรูปแบบของผื่นคัน ตุ่มแดง หรือลักษณะคล้ายลมพิษ มักปรากฏภายใน 1-2 วันหลังเริ่มใช้ยา หรือเป็นผื่นแดง คัน หากเป็นปฏิกิริยาแบบ delayed hypersensitivity มักมีอาการหลังได้ยาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

สัญญาณ 'เลือดข้นหนืด' ที่คนนอนน้อยต้องระวัง สุขภาพแย่ จิตใจพัง

ภัยสุขภาพ! เฝ้าระวัง 'โรคติดเชื้อ-ภาวะขาดน้ำ' ซ้ำเติมชาวบ้านชายแดน

สัญญาณอันตรายของผื่นแพ้ยา

ลักษณะของผื่นแพ้ยาอาจแตกต่างกันไป เช่น

  • ผื่นแดงราบหรือมีตุ่มนูน
  • ผื่นกระจายทั่วร่างกายหรือเป็นจุด ๆ
  • ผิวลอกหรือมีตุ่มน้ำพอง

หากคุณมีผื่นเกิดขึ้นหลังจากใช้ยาใหม่ ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที อย่าซื้อยารับประทานเองโดยไม่รู้ต้นเหตุของอาการ เพราะอาจยิ่งกระตุ้นให้รุนแรงขึ้น

พญ.สัญชวัล วิทยากรฤกษ์ สาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าว แม้ผื่นแพ้ยาส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่ก็มีบางกรณีที่อันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าเกิดอาการแพ้ชนิดรุนแรง เช่น

  • มีไข้สูง หนาวสั่น
  • ผื่นขึ้นรวดเร็วทั่วร่างกาย
  • ผิวหนังพอง น้ำเหลืองไหล ลอกเป็นแผ่น
  • ตาแดง มีแผลในปาก หรืออวัยวะเพศ
  • หายใจลำบาก แน่นหน้าอก บวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก หรือคอ
  • ความดันเลือดต่ำ หมดสติ

หากพบอาการเหล่านี้หลังใช้ยา ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน เพราะอาจเป็นกลุ่มอาการรุนแรงอย่าง Stevens-Johnson Syndrome (SJS) หรือ toxic epidermal necrolysis (TEN) ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูง หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา

ชนิดยาที่มักทำให้เกิดอาการแพ้

ยาทุกชนิดมีโอกาสทำให้แพ้ได้ แต่จากสถิติพบว่ามียาบางกลุ่มที่เสี่ยงสูงต่อการกระตุ้นปฏิกิริยาแพ้ เช่น

  • ยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะกลุ่มเพนิซิลลิน และซัลฟา
  • ยากันชัก เช่น carbamazepine phenytoin
  • ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ibuprofen naproxen
  • ยาเคมีบำบัด
  • ยารักษาวัณโรค และเชื้อรา

แม้จะเคยใช้ยาเหล่านี้โดยไม่แพ้มาก่อน ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่แพ้ในอนาคต เพราะร่างกายสามารถพัฒนาอาการแพ้ภายหลังได้เช่นกัน

"แพ้ยา" ปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันทางร่างกาย

การแพ้ยา เป็นปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่งทางร่างกาย เกิดจากการที่ร่างกายเห็นว่ายาที่ใช้ในการรักษาโรค เป็นสิ่งแปลกปลอม ทำให้ร่างกายพยายามกำจัดยานั้น โดยที่ร่างกายจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันออกมาเพื่อต่อต้านยา เกิดการหลั่งสารภูมิแพ้ต่างๆ ส่งผลปรากฏเป็นอาการแพ้ยา

ภญ.ธนิสา กฤษฎาธาร งานบริหารข้อมูลทางเภสัชกรรมและสนับสนุนระบบยา ฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ กล่าวว่าโดยการแพ้ยาส่วนใหญ่ไม่สามารถคาดเดาอายุ เพศ ได้ว่าจะเกิดกับใคร แต่สามารถทราบได้ว่ายาชนิดไหนที่พบสถิติของการแพ้ได้บ่อย เช่น ยาปฏิชีวนะ ยากันชัก ยาแก้ปวด เป็นต้น หรือทราบได้ว่ายากลุ่มใดที่ควรระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดการแพ้ยารุนแรง

อย่างไรก็ตามยาที่ไม่ค่อยจะทำให้เกิดอาการแพ้ ก็สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น การแพ้ยา ไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่สามารถระบุได้ว่า ผู้ป่วยกลุ่มใดที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ โดยตั้งแต่เด็กแรกเกิดก็สามารถแพ้ยาได้ ไปจนกระทั่งผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ สาเหตุของการแพ้ยา โดยส่วนมาก ไม่สามารถระบุได้ ซึ่งปัจจุบันมียาบางรายการที่พบว่า การแพ้ยานั้น มีความเกี่ยวข้องกับยีนบางชนิดที่สืบทอดทางพันธุกรรมได้

วิธีสังเกต-ข้อแตกต่างระหว่างแพ้ยา VS ผลข้างเคียงยา

ความเหมือนกันของการแพ้ยากับอาการข้างเคียงที่เกิดจากยา คือ เป็นอาการไม่พึงประสงค์จากยา ที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่อาการข้างเคียงเป็นสิ่งที่มีข้อมูลและสามารถคาดเดาได้ เช่น ทราบว่ายาชนิดนี้จะออกฤทธิ์บริเวณไหน จะมีผลอย่างไร

ดังนั้น จะสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดผลข้างเคียงอะไรบ้าง และสามารถคาดเดาได้ถึงกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอาการข้างเคียง และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่เพิ่มโอกาสเกิดอาการข้างเคียงได้ ดังนั้นอาการข้างเคียงมักไม่ใช่ข้อห้ามการใช้ยา เพราะสามารถจัดการควบคุม ลดความรุนแรง หรือว่าป้องกันได้

ตัวอย่าง ยาแก้ปวดอักเสบที่ไม่ใช่ยาสเตียรอยด์ (NSAIDs) ที่จำหน่ายโดยทั่วไป เมื่อรับประทานเข้าไปเพื่อมุ่งหวังรักษาอาการปวดและลดอักเสบ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ทราบด้วยว่ายากลุ่มนี้ มีผลในกระเพาะอาหาร ลดการหลั่งสารบางชนิด ทำให้การสร้างเยื่อเมือกในกระเพาะลดลง อาจส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะได้ ซึ่งการเกิดแผลในกระเพาะอาหารจัดเป็นอาการข้างเคียง

โดยที่สามารถคาดเดาได้ว่าใครมีความเสี่ยงจะเกิดการอาการข้างเคียงดังกล่าวได้มาก เช่น ผู้สูงอายุอาจจะเกิดมากกว่า หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคกระเพาะ ก็อาจจะมีโอกาสเกิดมากกว่า รวมถึงขนาดยาที่ใช้ หากใช้ยาขนาดสูงหรือใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานก็มีโอกาสเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้มากกว่า เป็นต้น โดยปัจจัยเสี่ยงทั้งหมดเป็นสิ่งที่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการแพ้ยาน่ากลัว และอันตรายกว่าอาการข้างเคียงจากยา ค่อนข้างมาก

อาการแพ้ยาที่ต้องเฝ้าระวัง

  • ลักษณะของการเกิดการแพ้ยา

หากรับประทานยาชนิดนั้นครั้งแรกในชีวิต ยาโดยส่วนใหญ่มักจะไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้หลังจากรับประทานยาเม็ดแรก จะต้องใช้ระยะเวลาระยะหนึ่งหลังจากรับประทานยาต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย จนถึงจุดที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันสมบูรณ์จึงจะเกิดอาการแพ้ โดยทั่วไป มักเกิดอาการแพ้ยาหลังเริ่มรับประทานยาต่อเนื่องราว 7-14 วัน ทั้งนี้ ภูมิคุ้มกันจะมีความแตกต่างของแต่ละบุคคล อาจพบหลังจากรับประทานยาต่อเนื่องนาน 1-2 เดือน หรือบางรายอาจพบน้อยกว่า 7 วัน

  • อาการแพ้ยาทั่วไป

พบมากที่สุด คือ อาการทางระบบผิวหนัง เป็นผื่น คัน ขึ้นตามตัว บริเวณร่างกาย แขนขา หรือบริเวณใบหน้า โดยผื่นมีหลายรูปแบบมาก อาจจะมีผื่นนูน ผื่นราบ แต่ก็มักมีอาการคันร่วมด้วย นอกเหนือจากอาการผื่น ที่พบได้จะมีในเรื่องของบวม บริเวณใบหน้า เช่น ตึงหน้า ตา ปาก ก่อนที่จะนูนขึ้น บวมบริเวณใบหน้า ส่วนใหญ่กระจายตามทั่วร่างกาย

  • อาการแพ้ยารุนแรง

อาการแพ้ยารุนแรงเฉียบพลัน อาจพบอาการผื่น ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น หายใจหอบเหนื่อย ปัสสาวะ อุจจาระราด หลอดลมตีบ บางรายมีผื่นร่วมกับความดันตก หรือบางรายเป็นผื่น ปวดท้องเฉียบพลัน อาเจียน ซึ่งถือว่ารุนแรงอันตรายถึงชีวิตได้ หากเข้ารับการรักษาไม่ทัน ในกรณีที่มีอาการรุนแรง อาจจะเกิดทันที ต้องสังเกตยาที่เพิ่งรับประทานไม่นานก่อนเกิดอาการ

  • อาการแพ้ยารุนแรงอื่นๆ เช่น

Stevens-Johnson syndrome จะมีอาการผื่นแดงตามร่างกาย ร่วมกับผื่นบริเวณเยื่อบุบางตำแหน่ง เช่น เยื่อบุตา เยื่อบุในช่องปาก เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ เยื่อบุของอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น โดยอาจมีการหลุดลอกของผิวหนังร่วมด้วยได้

  • Toxic epidermal necrolysis

อาการจะคล้ายกับ Stevens-Johnson syndrome แต่จะมีการหลุดลอกของผิวหนัง มากกว่าร้อยละ 30 ของพื้นที่ผิวหนังในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น ภาวะติดเชื้อ เป็นต้น จึงอาจส่งผลให้ถึงแก่ชีวิตได้

Dress syndrome อาการผื่น ร่วมกับพบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายผิดปกติ เช่น การทำงานของตับผิดปกติ ระบบเลือดผิดปกติ เป็นต้น

ข้อควรปฏิบัติเมื่อสงสัยว่าแพ้ยา

1. หยุดยา เนื่องจากยาบางตัวออกฤทธิ์นาน การหยุดเร็วจะช่วยลดโอกาสของการพัฒนาไปสู่อาการแพ้ยารุนแรง

2. ควรพบแพทย์ทันทีหลังจากหยุดยา

3.อย่าใช้ยาตามคำแนะนำจากผู้อื่นโดยไม่มีใบสั่งแพทย์

4.พกบัตรหรือสายรัดข้อมือที่ระบุการแพ้ยาไว้เสมอ

การประเมินและวินิจฉัยแพ้ยา

สาเหตุที่ควรพบแพทย์ทันทีหลังจากหยุดยาที่สงสัยแพ้ เพื่อให้เกิดการวินิจฉัยที่ถูกต้องว่าเป็นการแพ้ยา เพราะอาการแพ้ยาบางชนิดอาจคล้ายคลึงกับภาวะโรคอื่น จึงจำเป็นต้องให้แพทย์วินิจฉัยแยกโรคให้ชัดเจน

นอกจากนี้ อาการแพ้ยาบางอย่างอาจต้องการการตรวจร่างกายเพิ่มเติมโดยแพทย์ และอาจต้องส่งผลเลือดเพื่อตรวจดูการทำงานของอวัยวะในร่างกาย ที่อาจเกิดการทำงานผิดปกติได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถพบได้ด้วยตาเปล่า

รวมถึงเมื่อเราหยุดยาเนื่องจากเกิดอาการแพ้ อาจจำเป็นต้องมีตัวยาทดแทนยาที่แพ้ ยกตัวอย่าง ผู้ป่วยโรคหัวใจพึ่งเริ่มรับประทานยาหัวใจ และมีอาการสงสัยแพ้ยาและหยุดยาไปเอง แต่ไม่ได้มาพบแพทย์ มีโอกาสที่ไม่ได้รับยาทดแทน ก็อาจทำให้โรคหัวใจกำเริบได้ เป็นต้น

เมื่อแพทย์ได้ตรวจและวินิจฉัยแล้วว่าสงสัยแพ้ยา แพทย์จะทำการปรึกษาต่อไปยังเภสัชกร โดยเภสัชกรจะทำการประเมินโดยพิจารณาจากกลไกของยาที่สงสัยแพ้ว่าสามารถเข้ากันได้กับอาการและระยะเวลาการใช้ยาของผู้ป่วย ซึ่งเภสัชกรจะตามประวัติการได้รับยาในอดีตของผู้ป่วยโดยละเอียด ยิ่งทราบประวัติการใช้ยาของผู้ป่วยมากเท่าไหร่ การประเมินแพ้ยาจะมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้หลังจากมีการประเมินและวินิจฉัยอาการแพ้ยาแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการติดตามหลังจากการหยุดใช้ยาโดยเภสัชกร เนื่องจากหากหยุดยาแล้วอาการหายดีจึงจะสงสัย จะทำให้มั่นใจได้มากขึ้นว่าน่าจะเป็นการแพ้ยา

ความสำคัญของบัตรแพ้ยา

1. การแสดงบัตรแพ้ยา เมื่อเข้ารักษาตัว ณ สถานพยาบาลต่างๆ ทั้งร้าน คลินิก โรงพยาบาล เป็นการสื่อสารกับบุคลากรทางการแพทย์ ให้หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่แพ้

2. การพกบัตรแพ้ยาติดตัว เช่น พกติดบัตรประชาชนในกระเป๋าเงิน จะมีประโยชน์กรณีเกิดอุบัติเหตุ หมดสติ ไม่สามารถสื่อสารเรื่องประวัติแพ้ยาได้ บัตรแพ้ยาจะเป็นสิ่งที่ช่วยสื่อสารแทนตัวเรา เพื่อให้หลีกเลี่ยงการได้รับยาที่แพ้ได้

ผลจากการได้รับยาที่แพ้ซ้ำ

เมื่อได้รับยาที่เคยแพ้ซ้ำ มีโอกาสที่อาการแพ้ยาจะเกิดขึ้นซ้ำ โดยอาจเกิดในครั้งที่ 2 อาจเกิดได้รวดเร็วขึ้นและพัฒนารุนแรงกว่าครั้งก่อน เช่น การแพ้ยาครั้งแรกเกิดอาการผื่น

การได้รับยาครั้งที่ 2 อาจจะมีผื่นร่วมกับอาการของระบบร่างกายอื่นๆ ทำงานผิดปกติ หรืออาจเกิดอาการเฉียบพลันเพิ่ม มีหายใจไม่สะดวก แน่นหน้าอกร่วมด้วย เป็นต้น ดังนั้น เมื่อมีประวัติแพ้ยาแล้ว จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีประวัติแพ้

ทั้งนี้ จึงไม่แนะนำให้ทดลองให้ใช้ยาที่เคยแพ้ซ้ำด้วยตนเอง หากจำเป็นต้องใช้ยา การทดลองใช้ยาที่แพ้ซ้ำ ต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์เท่านั้น โดยทั่วไปจะใช้เมื่อแพทย์พิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็นต้องใช้ยาดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการรักษามากกว่าความเสี่ยงของเรื่องอาการแพ้ยา รวมถึงยาหรืออาการแพ้บางอาการ จำเป็นต้องมีวิธีเฉพาะในทดลองใช้ยา เช่น ค่อยๆ เพิ่มขนาดยาทีละน้อย เป็นต้น ซึ่งกระบวนการดังกล่าวควรอยู่ในความดูแลของแพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้

การป้องกันการเกิดแพ้ยา

  • ในผู้ที่ยังไม่เคยแพ้ยามาก่อน

ปัจจุบันยาส่วนใหญ่ยังไม่สามารถป้องกันการแพ้ได้ เนื่องจากการไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นกับใครหรือเมื่อไหร่

แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมียาบางรายการที่พบว่าการแพ้ยามีความเกี่ยวข้องกับยีนบางชนิดที่สืบทอดทางพันธุกรรมได้ โดยสามารถตรวจยีนดังกล่าว ก่อนเริ่มใช้ยาได้ หากผลตรวจยีนเป็น positive หมายถึง ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงในการเกิดแพ้ยาชนิดรุนแรงจากยาดังกล่าว จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยา

ปัจจุบันทางโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ได้ให้บริการตรวจยีนแพ้ยาในยา 5 รายการ ได้แก่ Allopurinol, Carbamazepine, Nevirapine, Abacavir และ Dapsone ทั้งนี้การตรวจจะสามารถทำได้หากผู้ป่วยมีข้อบ่งใช้ในการใช้ยา ไม่สามารถขอตรวจเพื่อขอทราบผลยีนแพ้ยาโดยไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาดังกล่าวได้

นอกจากนี้ การใช้ยาโดยทั่วไป ควรรับยาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น แหล่งสถานพยาบาล คลินิก ร้านขายยาที่มีเภสัชกร เป็นต้น ไม่ควรใช้ยาชุดที่เป็นยาหลายเม็ดรวมกันในซองเดียว จากคนที่แนะนำมา แต่ไม่รู้ชื่อหรือแหล่งที่มา

เนื่องจากหากเกิดอาการแพ้หรือเกิดผลข้างเคียงขึ้นจะไม่สามารถสืบค้นข้อมูล ทำให้ไม่ทราบชื่อยาที่แพ้หรือเกิดอาการข้างเคียง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการครั้งถัดไปได้ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่ทราบชื่อยา

  • ในผู้ที่มีประวัติแพ้ยา

สามารถป้องกันการเกิดแพ้ยาซ้ำ โดยการแจ้งชื่อยาที่แพ้ทุกครั้งที่เข้ารับการรักษา ณ สถานพยาบาลต่างๆ รวมถึงให้ความร่วมมือ เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ สอบถามเรื่องประวัติแพ้ยา และพกบัตรแพ้ยาติดตัวเสมอ

อ้างอิง: Rama Channel , คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

ศึก!โฆษก 'เสธต๊อด' ปะทะ 'มาลี' ชี้ไทยไม่รุกราน ซัดกัมพูชา ผิดกติกาสากลเพียบ

22 นาทีที่แล้ว

Airbnb เปิดสถิติยอดจองที่พักปี 67 ‘ประเทศไทย’ จุดหมายสุดฮิตนักท่องเที่ยวยุโรป-สหรัฐ-ตะวันออกกลาง

27 นาทีที่แล้ว

ทบ. ประณามกัมพูชา ยิงจรวด BM-21 ใส่ประชาชน ดับ 1เจ็บ1 จ. ศรีสะเกษ

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ปชน.พร้อมปิดเว็บมอนิเตอร์'ไทย-กัมพูชา' ปัดเผยแพร่ข้อมูลเสี่ยง

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความสุขภาพอื่น ๆ

ไขข้อสงสัย ทำไมไม่ควรทานยาคู่กับนม ส่งผลต่อฤทธิ์ของยาจริงหรือไม่?

PPTV HD 36

เทคนิคอยู่กับความโกรธอย่างมีสติ ท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

PPTV HD 36

ต้นแบบ ‘ครอบครัวคนหัวใจเพชร’ งดเหล้า ยกระดับความสุขทุกมติ

กรุงเทพธุรกิจ

สธ.เผย มีผู้บาดเจ็บเหตุชายแดนไทย-กัมพูชาเพิ่ม 1 ราย รพ.ปิดบริการเพิ่ม 4 แห่ง

PPTV HD 36

หลายคนชะล่าใจ 5 จุดบนร่างกายบวม ทำลายตับไม่รู้ตัว ใครมีอาการรีบไปพบแพทย์ทันที

News In Thailand

มทร.ธัญบุรี เปิดพื้นที่รองรับผู้ลี้ภัย 2,000 คน พร้อมชวนบริจาคสิ่งของ

กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...