“มาร์กอส” พบ “ทรัมป์” หวังฟิลิปปินส์ได้ข้อตกลงภาษีดีกว่าเวียดนาม-อินโดฯ ก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.
“มาร์กอส” พบ “ทรัมป์” หวังฟิลิปปินส์ได้ข้อตกลงภาษีดีกว่าเวียดนาม-อินโดฯ ต่ำกว่า 20% พร้อมย้ำพันธมิตรด้านความมั่นคงต้องควบคู่การเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 เวลา 03.42 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เตรียมพบโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ทำเนียบขาวในวันอังคารนี้ โดยหวังว่าสถานะพันธมิตรสำคัญในเอเชียของฟิลิปปินส์ จะช่วยให้สามารถตกลงเรื่องภาษีการค้าในเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์มากขึ้น ก่อนที่กำหนดเส้นตายภาษีใหม่จะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม
มาร์กอสถือเป็นผู้นำอาเซียนคนแรกที่ได้พบทรัมป์ในวาระดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของเขา ขณะที่ทรัมป์ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับเวียดนามและอินโดนีเซียไปแล้ว แม้จะยังคงใช้ท่าทีแข็งกร้าวแม้กับพันธมิตรใกล้ชิดที่สหรัฐต้องการรักษาความสัมพันธ์ในบริบทการแข่งขันกับจีน
มาร์กอสกล่าวก่อนออกเดินทางจากกรุงมะนิลาว่า“ผมคาดว่าการหารือจะเน้นประเด็นด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ แต่ก็รวมถึงการค้าเช่นกัน …เราจะดูว่ามีความคืบหน้าเพียงใดในการเจรจากับสหรัฐ เพื่อแก้ไขผลกระทบจากตารางภาษีที่รุนแรงต่อฟิลิปปินส์”
ในปีที่ผ่านมา สหรัฐมีดุลการค้าเกินดุลกับฟิลิปปินส์เกือบ 5 พันล้านดอลลาร์ จากมูลค่าการค้าสินค้าทวิภาคี 2.35 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยในเดือนนี้ ทรัมป์ได้ขู่ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากฟิลิปปินส์เป็น 20% จากที่เคยระบุไว้ 17% ในเดือนเมษายน
แม้ประเทศพันธมิตรในเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องข้อตกลงการค้า แต่เกรกอรี โพลิง ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศในกรุงวอชิงตัน เชื่อว่า มาร์กอสอาจสามารถเจรจาได้ดีกว่าเวียดนาม ซึ่งอยู่ในระดับภาษี 20% และอินโดนีเซียที่ 19% “ผมจะไม่แปลกใจหากมีการประกาศข้อตกลงกับฟิลิปปินส์ในอัตราที่ต่ำกว่าสองประเทศนั้น” โดยให้เหตุผลว่าฟิลิปปินส์เป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญาและมีจุดยืนชัดเจนร่วมกับสหรัฐในประเด็นจีน
มาร์กอสเดินทางถึงกรุงวอชิงตันเมื่อวันอาทิตย์ และในวันจันทร์ได้เยือนกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เพื่อหารือกับพีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหม และต่อมาได้พบกับมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ระหว่างการเยือน เขายังจะได้พบกับผู้นำภาคธุรกิจสหรัฐที่ลงทุนในฟิลิปปินส์
เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์ระบุว่า มาร์กอสจะเน้นย้ำว่าฟิลิปปินส์ต้องมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจจึงจะสามารถเป็นพันธมิตรที่แท้จริงของสหรัฐในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิกได้
นางราเคล โซลาโน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฟิลิปปินส์ กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เจ้าหน้าที่การค้าของทั้งสองประเทศกำลังเร่งหาข้อตกลงที่ยอมรับได้และเป็นประโยชน์ร่วมกัน
โซลาโนกล่าวอีกว่า ประธานาธิบดีมาร์กอสจะเน้นการเสริมสร้างพันธมิตรด้านความมั่นคงที่มีมานานกว่า 70 ปี โดยที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐ มาร์กอสระบุว่าสนธิสัญญาป้องกันประเทศร่วมกันระหว่างสองประเทศคือ เสาหลักของความสัมพันธ์ทวิภาคี และเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาเสถียรภาพในทะเลจีนใต้
“ผมขอขอบคุณท่าน และรัฐบาลสหรัฐ รวมถึงประธานาธิบดีทรัมป์ สำหรับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องที่เรารับรู้ได้ และจำเป็นต้องมี ท่ามกลางภัยคุกคามที่ประเทศของเรากำลังเผชิญ”
รัฐมนตรีกลาโหมเฮกเซธเน้นย้ำถึงความร่วมมือทางทหารที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับฟิลิปปินส์ รวมถึงการส่งกำลังขีปนาวุธและระบบไร้คนขับมายังภูมิภาค
“เราต้องร่วมกันสร้างเกราะแห่งการยับยั้งที่แข็งแกร่ง เพื่อสันติภาพที่แท้จริง” เฮกเซธกล่าว ซึ่งเขาเคยเดินทางเยือนมะนิลาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ในขณะที่ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญแรงกดดันจากจีนในพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ มาร์กอสได้หันมาใกล้ชิดสหรัฐมากขึ้น โดยขยายสิทธิเข้าถึงฐานทัพให้กับสหรัฐในช่วงที่จีนมีท่าทีแข็งกร้าวต่อไต้หวัน ซึ่งเป็นเกาะที่ปกครองตนเองแต่จีนอ้างกรรมสิทธิ์
ทั้งสองประเทศจัดการซ้อมรบร่วมประจำปีหลายครั้ง รวมถึงการฝึกใช้ระบบขีปนาวุธ Typhon และล่าสุดคือระบบขีปนาวุธต่อต้านเรือ NMESIS ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่จีน
โพลิงกล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจคือรัฐมนตรีรูบิโอและเฮกเซธได้พบกับเจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์เป็นรายแรกของอาเซียน และดูเหมือนว่าทรัมป์มีท่าทีที่อบอุ่นต่อมาร์กอส ซึ่งเห็นได้จากบทสนทนาทางโทรศัพท์หลังการเลือกตั้งใหม่ของทรัมป์
อ้างอิง : reuters.com