อัสสเดช คงสิริ เปิดอนาคต ตลาดหุ้นไทย ใช้ AI จับทุจริต เพิ่มมูลค่า บจ.ด้วย JUMP+
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ฉายภาพอนาคตตลาดหุ้นไทย ใช้ AI จับทุจริต ปราบพฤติกรรมไม่เหมาะสม พร้อมเพิ่มมูลค่าบริษัทจดทะเบียนด้วย JUMP+ สร้างความเชื่อมั่น ดึงดูดนักลงทุน เผยต่างชาติมองตลาดหุ้นไทย เห็นสัญญาณดี
ตลาดหุ้นไทย เผชิญกับปัจจัยลบหลายด้านที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่สดใส ทั้งในแง่สภาพคล่องที่หดตัว ผลตอบแทนที่ต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ และความเชื่อมั่นนักลงทุนที่ลดลง แม้จะมีหุ้นจำนวนมากที่ให้ปันผลสูงระดับ 5-6% ต่อปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาเหมือนเดิม
แล้วอนาคตตลาดหุ้นไทยจะไปในทิศทางไหน การเงินธนาคาร ได้สัมภาษณ์พิเศษ อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถึงแนวทางฟื้นความเชื่อมั่นให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาเป็นที่น่าสนใจลงทุนอีกครั้ง
“ตลาดหุ้นไทยจะไปทางไหนนั้น ในระยะกลาง และระยะยาว ถ้าทุกภาคส่วนมาช่วยเหลือกัน มีความตั้งใจที่จะผลักดัน สร้างโอกาส ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ผมมองว่าตลาดทุนไทยไปได้อีกไกล”
เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำ
ความเชื่อมั่นนักลงทุนหดหาย
ก่อนจะมองไปที่อนาคต อัสสเดชยอมรับว่า ปัจจุบันมีปัจจัยสร้างความผันให้กับตลาดหุ้นไทยหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีผลในเชิงลบ โดยปัจจัยต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกำแพงภาษีนำเข้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สงครามในตะวันออกกลางที่ร้อนแรงมากขึ้น ตลอดจนปัจจัยในประเทศที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีจำนวนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) รวม 858 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิ.ย.2568) ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่หลากหลาย เป็นตัวชี้วัดหรือสะท้อนภาพเศรษฐกิจไทย การที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องส่วนหนึ่งเกิดจากความเชื่อมั่น แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือการเติบโตของเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง และในปี 2568 ก็มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่ำที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของประเทศที่ทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยลดลงไป
“ถ้าดูย้อนหลัง 10 ปี บจ.ไทยโดยรวมมีกำไรเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้านที่เติบโต 4-7% ต่อปี ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศก็ต้องหาทางเลือกและโอกาสทำกำไรที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับความเสี่ยง ดังนั้น ถ้าดูตัวเลขการเติบโตของจีดีพีไทยเมื่อเทียบกับอาเซียน ถือว่าตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจลดลง”
เปิดแผนฟื้นความเชื่อมั่น
ใช้ AI ตรวจจับทุจจริต
“ถ้าพูดถึงอนาคตของตลาดหุ้นไทย ผมมองทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยในระยะสั้น บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเน้นเรื่องเสถียรภาพ เรื่องพฤติกรรมที่ไม่ดีเราพยายามไม่ให้เกิดขึ้น พยายามห้าม พยายามเตือน พยายามให้ข้อมูลกับนักลงทุน”
อัสสเดชกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในงานด้านการกำกับดูแล โดยเฉพาะการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์และตรวจจับพฤติกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติ (Market Surveillance) และการใช้ AI ในการแจ้งเตือนผู้ลงทุน รวมทั้งจัดทำบทวิเคราะห์สำหรับหลักทรัพย์ขนาดกลางและขนาดเล็กที่ยังไม่มีการจัดทำบทวิเคราะห์ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจลงทุน
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้นน้ำ มีข้อมูล วิเคราะห์ได้รวดเร็ว ดังนั้นเมื่อพบพฤติกรรมที่ผิดปกติจึงต้องรีบส่งสัญญาณเตือนให้กับนักลงทุน ซึ่งการเตือนที่รวดเร็วมีความสำคัญมาก เพราะถ้ารอให้จับผู้กระทำผิด กว่าจะรู้อาจจะสายไปแล้ว เพราะขั้นตอนการจับ การลงโทษต้องเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องใช้เวลา”
เกาะติดรายการซื้อขาย
วันละ 500,000 รายการ
สำหรับมาตรการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนด้านการซื้อขายหลักทรัพย์นั้น อัสสเดชกล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ วิเคราะห์รายการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 500,000 รายการ โดยดูเรื่องความเชื่อมโยงด้านราคา อัตราการหมุนเวียนซื้อขาย (Turnover Ratio) เป็นต้น ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการตักเตือนไปยัง บจ.กรณีที่พบการซื้อขายกระจุกตัว ราคาหุ้นเคลื่อนไหวโดยไม่มีปัจจัยที่อธิบายได้ การขยับของราคาหุ้นเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการเตือนนักลงทุนด้วย
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กำหนดให้มีมาตรการห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่งเป็นการชั่วคราวโดยอัตโนมัติ (Auto Pause) หากพบว่า มีการส่งคำสั่งซื้อหรือขายในหลักทรัพย์ใดมากเกินกว่าอัตราที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์และผู้ลงทุนได้มีเวลาในการตรวจสอบคำสั่งซื้อหรือขายของตน และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการจับคู่การซื้อขายที่อาจผิดปกติอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมโดยรวม
“ความผิดปกติในการซื้อขายไม่ได้พบทุกวัน โดยรวมแล้วถือว่านักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยมีพฤติกรรมที่ดี”
ในส่วนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้นน้ำของข้อมูล เช่น พฤติกรรมซื้อขายที่เข้าข่ายหรืออาจจะเข้าข่ายการใช้ข้อมูลภายใน (Insider Trading) ก็จะส่งข้อมูลไปให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจสอบต่อไป โดยทั้งสองหน่วยงานมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งยังมีการประสานกับหน่วยงานยุติธรรมสำหรับกรณีที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน เพื่อลงโทษผู้กระทำผิดให้รวดเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ต้องการพฤติกรรมที่ทำร้ายตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นโรบอต เป็นคน หรือบริษัท เราไม่ต้องการพฤติกรรมที่ไม่ดี สำหรับบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ตักเตือนบ่อยขึ้น นอกจากนี้ได้ขอให้เปิดเผยข้อมูลที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่านักลงทุนควรรู้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น”
ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น พบว่ามีการไปลงทุนซื้อสินทรัพย์ มีการวางมัดจำ แต่ไตรมาสถัดมา หรืออีก 1 ปีต่อมาก็แจ้งว่าการธุรกรรมดังกล่าวไม่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งกรณีที่บริษัทจดทะเบียนสร้างประเด็นในลักษณะนี้ โดยเฉพาะเมื่อแจ้งข่าวว่ามีการลงทุนแล้วทำให้หุ้นปรับตัวขึ้น แต่ต่อมาไม่มีการลงทุนตามที่แจ้งไว้ อัสสเดชกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้หาทางแก้ไขโดยการให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเพื่ออธิบายนักลงทุนอย่างทันท่วงที โดยมีเป้าหมายคือถ้าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีก็จะทำให้บริษัทเหล่านั้นได้คิดให้ถี่ถ้วน เพราะถ้าไม่ชัดเจนจะมีคำถามจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
“ถ้าดูตัวเลขจริๆ แล้ว จำนวนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งหมด 858 บริษัท พบว่าบริษัทที่ทำไม่ดีมีน้อย แต่สร้างความเสียหายให้ภาพรวม เราไม่อยากให้บริษัทที่ทำดีเดือดร้อนไปด้วย หรือทำให้เกิดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ดังนั้นต้องสร้างความสมดุล”
ปรับเกณฑ์ผู้ลงทุนกลุ่ม HFT
ลดความผันผวนของราคา
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้ปรับหลักเกณฑ์เกี่ยวกับมาตรการเพื่อยกระดับการกำกับดูแลและเพิ่มความเชื่อมั่นผู้ลงทุน โดยกำหนดให้ผู้ลงทุนกลุ่ม High-Frequency Trading (HFT) สามารถซื้อหลักทรัพย์ได้เฉพาะหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง โดยนักลงทุน HFT จะสามารถซื้อขายได้เฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 เท่านั้น เพื่อลดความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ขนาดกลางและเล็กที่อาจไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขายอย่างเพียงพอ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป
“HFT เป็นเรื่องที่มีการพูดถึงกันเยอะ ผมไม่ฟันธงว่าเป็นปัญหา หรือไม่เป็นปัญหา แต่มาตรการใหม่ที่ออกมาเป็นการสร้างความเชื่อมั่น สร้างโอกาสให้นักลงทุน คือ กำหนดให้ซื้อขายหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่มขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง ก็คือ SET 100 เพื่อลดความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ที่มีขนาดกลางและเล็กที่อาจไม่มีสภาพคล่องเพียงพอ
ทั้งนี้ กรณีการมีกฎระเบียบมากเกินไปจะลดทอนความน่าสนใจที่นักลงทุนต่างชาติมีต่อตลาดหุ้นไทยหรือไม่นั้น อัสสเดชกล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยถ้าให้ซื้อขายเฉพาะใน SET 100 ก็จะเป็นข้อจำกัดเมื่อเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้ว (Developed Market) แต่ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันปัจจัยดังกล่าวอาจไม่ได้เป็นเรื่องหลัก ตอนนี้เราต้องปรับปรุงพื้นฐานของเราก่อน ซึ่งถ้าเทียบกับตลาดเกิดใหม่ด้วยกันก็ต้องดูว่าแต่ละตลาดมีกฏเกณฑ์อะไรบ้าง และการควบคุมมากเกินไปก็มีความเสี่ยงที่จะตกไปอยู่ใน Frontier Market หรือตลาดหุ้นชายขอบหรือประเทศที่เพิ่งจะพัฒนา ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องศึกษาและสร้างความสมดุลให้ได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายด้วยระบบอัตโนมัติ หรือ Program Trading ยังมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงเดิม คือกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าการซื้อขายโดยรวม
ยกระดับบริการ Co-location
สร้างความเท่าเทียมให้นักลงทุน
นายอัสสเดชกล่าวว่า ปัจจุบันใน ตลาดหุ้นไทย มีนักลงทุนที่หลากหลาย และต้องยอมรับว่าเทคโนโลยียังวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เร็วไม่เท่ากัน เปรียบได้กับสมองมนุษย์ที่แต่ละคนอาจจะมีความเร็วที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามทำและได้ดำเนินการไปแล้วค่อนข้างมาก คือ การมุ่งสร้างโอกาสและความเท่าเทียม เพื่อประโยชน์ต่อผู้ลงทุนทุกกลุ่มอย่างสมดุล
โดยสนับสนุนให้บริษัทหลักทรัพย์สมาชิก (โบรกเกอร์) ทุกรายสามารถเข้าถึงบริการ Co-location ซึ่งเป็นบริการพื้นที่วางเซิร์ฟเวอร์และการเชื่อมต่อระบบซื้อขายจากศูนย์คอมพิวเตอร์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อย่างทั่วถึง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนทุกกลุ่มสามารถทำธุรกรรมซื้อขาย และเข้าถึงข้อมูลการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเท่าเทียม ลดความได้เปรียบเสียเปรียบของนักลงทุนแต่ละกลุ่ม พร้อมส่งเสริมบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกในการยกระดับบริการให้แก่ผู้ลงทุน
“จุดยืนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างโอกาสให้ผู้ลงทุนทุกภาคส่วนสามารถทำธุรกรรมซื้อขาย และเข้าถึงข้อมูลการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเท่าเทียมกัน”
เดินหน้าโครงการJUMP+
เพิ่มมูลค่า บจ.ดึงดูดนักลงทุน
สำหรับแผนระยะกลางและระยะยาว ในการสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนมาลงทุนใน ตลาดหุ้นไทย เพิ่มขึ้น อัสสเดชกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ศึกษารูปแบบของตลาดหุ้นญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ มองว่าในที่สุดแล้วสิ่งที่ทั้งสองตลาดดำเนินการก็คือ การสร้างมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น โดยเน้นไปที่ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE)
ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้เปิดโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน หรือ JUMP+ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย สร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น โดยเน้นบริษัทที่มีศักยภาพ และมีความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามแผนการเติบโตของบริษัท พร้อมส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลแผนงานและผลการดำเนินงาน เพื่อสื่อสารกับผู้ลงทุน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมโครงการประมาณ 50-100 บริษัท
สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการ JUMP+ จะได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทในด้านต่างๆ จากตลาดหลักทรัพย์ฯ หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานพันธมิตร ดังนี้
- การจัดทำแผนงาน และการดำเนินการ (Planning and Execution) ซึ่งจะมีทีมที่ปรึกษาช่วยให้คำแนะนำในการจัดทำแผนงาน และติดตามการดำเนินงานตามแผน พร้อมทั้งจะได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดทำแผน JUMP+ และค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานตามแผน จากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง สูงสุดไม่เกิน 5,000,000 บาท ตลอดระยะเวลาโครงการ พร้อมเงินรางวัลสำหรับบริษัทที่สามารถสร้างการเติบโตได้ตามเงื่อนไขที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด สูงสุด 500,000 บาท
- การสร้าง Corporate Visibility และการประชาสัมพันธ์วงกว้าง โดยร่วมมือกับพันธมิตรสนับสนุน การจัดทำบทวิเคราะห์ Analysis View และการจัดกิจกรรม Roadshow, การพบสื่อ Media Program ต่างๆ เพื่อสื่อสารข้อมูลของบริษัทสู่กลุ่มนักลงทุน แสดงให้เห็นถึงโอกาสการเติบโตของบริษัทตามแผนงานที่ได้จัดทำในโครงการ JUMP+ ซึ่งเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือของบริษัทในกลุ่มนักลงทุน
- การให้ Rewards และ Recognition Program โดยมีส่วนลดค่าธรรมเนียมกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ ส่วนลดบริการการเป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์ในอัตรา 10% ต่อปี สำหรับบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ และสมัครใช้บริการQR Code Sealer ของ TSD เป็นเวลา 3 ปี (2569-2571) และส่วนลดการใช้บริการจากพันธมิตร
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินเบื้องต้น (Preliminary Analysis Tool) ซึ่งได้ออกแบบและพัฒนาร่วมกับสถาบันศศินทร์ฯ เพื่อวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานทางการเงินเบื้องต้น ครอบคลุมตัวชี้วัดที่สำคัญในด้านต่างๆ สะท้อนภาพรวมของการเนินงานของบริษัทในหลายมิติ ทั้งความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น การเติบโตของรายได้และกำไร ความสามารถในการทำกำไรและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ความมั่นคงทางการเงินของกิจการและการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้บนระบบ SETLink
ส่วนรายละเอียดและกำหนดการในการดำเนินการของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการ JUMP+ ได้เปิดให้สมัครเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย. - 31 ธ.ค. 2568 ซึ่งบริษัทจดทะเบียนจะจัดทำแผนงาน 3 ปี (2569 -2571) ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัท และรายงานความคืบหน้ากับผู้ลงทุนตามไตรมาส หรือตามเหตุการณ์ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโครงการ
อัสสเดชกล่าวว่า โครงการ Jump+ จะช่วยให้ผู้ลงทุน เข้าถึงข้อมูลแผนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้งทราบถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ Opportunity Day ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพในการเติบโต นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนในการจัดกิจกรรม Jump+ Corporate Day เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนมาพบกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการ Jump+ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุน ได้รับข้อมูลเพิ่มเติม ประกอบการตัดสินใจลงทุนอีกด้วย
ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มเห็นแผนงาน Jump+ ของบริษัทจดทะเบียน ในช่วงไตรมาส 4 ปี2568 เป็นต้นไป และจะสามารถติดตามการดำเนินงานตามแผนงานของบริษัท ได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2569
หน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ
สร้างโอกาส-ความเท่าเทียม
สำหรับบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ นายอัสสเดชให้ความเห็นว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นองค์กรที่มีหน้าที่สร้างโอกาสให้กับทุกภาคส่วน สำหรับนักลงทุนเรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามทำมาตลอด คือ การสร้างการลงทุนที่หลากหลาย ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) ถือเป็นการสร้างโอกาสให้นักลงทุนในประเทศไทยลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจ
ดังนั้น บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯในอนาคต คือ การสร้างความต่อเนื่องในการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และโอกาสใหม่ๆ ตลอดจนการให้ข้อมูลที่เพียงพอกับนักลงทุนเพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุน
ในขณะเดียวกัน ผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทจดทะเบียน บริษัทจัดการกองทุน ทุกคนต้องพยายามสร้างโอกาส ยกตัวอย่างบริษัทหลักทรัพย์ สิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามทำคือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยล่าสุดได้เปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ “AomWise” (ออมไวซ์) แพลตฟอร์มการออมและลงทุน เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยรุ่นใหม่มีโอกาสเข้าสู่ตลาดทุนได้มากขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ และยังเป็น One-stop platform รองรับการลงทุนในหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น กองทุน DR และ ETF สามารถดูภาพรวมพอร์ตได้ในบัญชีเดียว เหมาะกับผู้เริ่มต้นลงทุน เช่นเดียวกันสำหรับบริษัทจดทะเบียนที่มีโครงการ JUMP+ ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทเพื่อดึงดูดนักลงทุน
ต่างชาติมองไทย “สัญญาณดี”
เชื่อตลาดหุ้นไทยยังไปได้อีกไกล
สำหรับมุมมองนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อ ตลาดหุ้นไทย อัสสเดชกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เดินทางไปนำเสนอข้อมูลที่ประเทศสิงคโปร์ ในงาน SET Singapore Roadshow 2025 เมื่อวันที่ 22-23 พฤษภาคม 2568 โดยมีนักลงทุนสนใจร่วมฟังเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการแลกเปลี่ยนข้อมูล พบว่า นักลงทุนต่างชาติยังให้ความสนใจประเทศไทย
“เราได้สอบถามนักลงทุนต่างชาติเรื่อง HFT คำตอบที่ได้คือ ไม่มีความกังวลเนื่องจาก HFT มีทุกตลาด การซื้อขายหุ้นไม่ได้ดูวันต่อวัน หรือรายนาที แต่ดูความมั่งคั่ง การเพิ่มมูลค่าระยะยาว นอกจากนี้ ตัวแทนจากภาครัฐได้ร่วมบรรยายข้อมูลเศรษฐกิจ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของไทย ผลตอบรับที่ได้น่าสนใจมาก เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับประเทศไทยในการสร้างความสนใจให้ต่างชาติกลับมาดูประเทศไทยอีกครั้ง”
เมื่อให้พูดถึงเป้าหมายด้านมูลค่าตลาดโดยรวม หรือ Market Cap อัสสเดชกล่าวว่า ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องเป็นเท่าไหร่ ประเด็นที่มุ่งเน้นคือ ต้องการให้บริษัทจดทะเบียนสร้างการเติบโตเพื่อเพิ่มกำไร ทำให้ ROE สูงขึ้น ส่วนที่เหลือก็จะตามมาเองทั้งสภาพคล่องและราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศ (Foreign Holding) ณ เดือนเมษายน 2568 เท่ากับ 4.76 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าการถือครองต่อ Market Cap ที่ 32.48% ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
และจากการปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยของ MSCI ในรอบล่าสุดเป็นผลจากการลดลงของ Market Cap ของหุ้นไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในกลุ่ม Emerging Markets ซึ่ง MSCI เอง ยังให้ความสำคัญกับ Market Practices และธรรมาภิบาลของตลาด ซึ่งตลาดทุนไทยยังคงมีมาตรฐานที่ดีในระดับภูมิภาค การปรับน้ำหนักรอบนี้อาจสะท้อนมิติด้านราคาเป็นหลัก โดยในระยะกลาง เชื่อว่าโครงการ Jump+ ที่มุ่งเพิ่มบริษัทคุณภาพและขยายฐานตลาด จะช่วยเสริมความน่าสนใจและสนับสนุนให้น้ำหนักไทยในดัชนีกลับมาเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง
อัสเดชกล่าวว่า แม้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะปรับฐาน แต่ยังมีหุ้นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นปันผล (High Dividend Stock) ซึ่งรวมอยู่ในดัชนี SETHD ที่มีค่าเฉลี่ย Dividend Yield สูงถึง 6.76% เทียบกับ 4.48% ของ SET Index และหากพิจารณาผลตอบแทนระยะยาวแบบ Total Return ตั้งแต่ปี 2564 พบว่า SETHD ให้ผลตอบแทนรวมกว่า 25% สะท้อนศักยภาพในการสร้างรายได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
โดยในกลุ่มนี้ยังมีหุ้นมากกว่า 20 ตัวที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (P/BV ต่ำกว่า 1) และมี ROE เฉลี่ยสูงถึง 12% ซึ่งชี้ให้เห็นถึงโอกาสลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดีและจ่ายผลตอบแทนสม่ำเสมอ
“ผมว่าเรามีโอกาสค่อนข้างสูง ประเทศไทยมี potential ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของประเทศ สังคม ความน่าอยู่ และตัวคนไทยเอง แต่จะต้องทำให้ Potential นั้นเกิดเป็นรูปธรรมและจับต้องได้”
ส่วน ตลาดหุ้นไทย จะไปทางไหน อัสสเดชมองว่า “ในระยะกลาง และระยะยาว ถ้าทุกภาคส่วนมาช่วยเหลือกัน มีความตั้งใจที่จะผลักดัน สร้างโอกาส ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ผมมองว่าตลาดทุนไทยไปได้อีกไกล”
[**MEMBERSHIP อ่าน "Exclusive อัสสเดช คงสิริ เปิดอนาคต ตลาดหุ้นไทย ใช้ AI จับทุจริต เพิ่มมูลค่า บจ.ด้วย JUMP+"
ฉบับเต็มได้ที่นี่**](https://moneyandbanking.co.th/2025/184422/)
ติดตามอ่านคอลัมน์อื่น ๆ ได้ในวารสารการเงินธนาคารฉบับเดือนกรกฎาคม 2568 ฉบับที่ 519 ในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi
รวมช่องทางการสั่งซื้อวารสารการเงินธนาคาร ทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับย้อนหลัง ครบจบที่นี้ที่เดียว : https://ma.co.th/product-category/mb-shop/