อินเวสทรี เร่งเครื่องธุรกิจ Crowdfunding Platform คว้าใบอนุญาต “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” รายแรกในไทย
อินเวสทรี (ไทยแลนด์) รับใบอนุญาตผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้จาก ก.ล.ต. รายแรกในไทย ชี้เป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้กรอบบริหารความเสี่ยงของแพลตฟอร์มสมบูรณ์ พร้อมเผยสถิติการดำเนินงานครบ 4 ปี ยอดระดมทุนสะสมทะลุ 4.2 พันล้านบาท สนับสนุนผู้ประกอบการไทยไปแล้วกว่า 120 ราย ผ่านดีลระดมทุนกว่า 2,000 ครั้ง
19 สิงหาคม 2568 - อินเวสทรี (ไทยแลนด์) ยกระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วยการเป็น แพลตฟอร์มคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding Platform) รายแรกในไทยที่ได้รับใบอนุญาต “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) บทบาทดังกล่าวทำให้การออกตราสารหนี้เอกชนของ SME มีมาตรฐานการกำกับดูแลและการคุ้มครองสิทธิผู้ลงทุนที่ชัดเจนขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ออกตราสาร ไปจนถึงวันครบกำหนดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
นางสาวณัทสุดา พุกกะณะสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุว่า ตลอดระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี นับจากได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. บริษัท อินเวสทรี มียอดระดมทุนสะสมทะลุ 4.2 พันล้านบาท ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยไปแล้วกว่า 120 ราย ด้วยดีลระดมทุนกว่า 2,000 ครั้ง ปัจจุบันมีส่วนแบ่งในตลาด Crowdfunding ที่ 60% ตัวเลขนี้สะท้อนความต้องการแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงได้จริงของผู้ประกอบการ SME ไทยในช่วงที่สภาวะการเงินยังตึงตัว
“เรามองบทบาทของคราวด์ฟันดิงว่าไม่ใช่แค่การระดมเงินทุน แต่คือการสร้างสาธารณูปโภคทางการเงินให้ SME ที่มีศักยภาพได้ขยับตัวทันเวลา ข้อสำคัญคือความโปร่งใสในการคัดกรองและติดตามผลหลังการระดมทุน ซึ่งช่วยให้ทั้งฝั่งผู้ออกหุ้นกู้และนักลงทุนทำงานร่วมกันได้อย่างมีวินัย”
นางสาวณัทสุดา ระบุว่าความเร็วในการปิดดีลและต้นทุนที่เหมาะสมเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แพลตฟอร์มเติบโตได้แม้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย โดยอินเวสทรีมีระยะเวลาระดมทุนเฉลี่ยเพียงราว 1 วัน และต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 12% ต่อปี (*ผลตอบแทนคิดจากค่าเฉลี่ยของหุ้นกู้ทั้งหมด ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถยืนยันหรือค้ำประกันผลตอบแทนในอนาคตได้) ทั้งนี้ขึ้นกับ ความเสี่ยงของแต่ละดีล และเงื่อนไขที่กำหนด โดยนักลงทุนเป็นผู้ได้รับผลตอบแทนนี้
อย่างไรก็ตามแม้ดีลหุ้นกู้ Crowdfunding จะมีผลตอบแทนน่าสนใจและช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตได้ แต่ทุกการลงทุนมีโอกาสขาดทุน การเลือกลงทุนจึงต้องประเมินทั้งคุณภาพผู้ออกหุ้นกู้ เงื่อนไขสัญญา และสภาพตลาด เพื่อให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
จากข้อมูลสะสมล่าสุด พอร์ตของอินเวสทรีมีคุณภาพการชำระหนี้อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยตลาด ซึ่งสะท้อนถึงวินัยการคัดกรองก่อนออกตราสารหนี้ กระบวนการติดตามหลังการออก และเครื่องมือกำกับดูแลใหม่ที่เข้ามาเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน
นายวรกร สิริจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ อธิบายว่า การที่อินเวสทรีได้รับใบอนุญาตผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้กรอบบริหารความเสี่ยงของแพลตฟอร์มสมบูรณ์ เพราะช่วยเชื่อมต่อการปกป้องสิทธิผู้ลงทุนตั้งแต่ขั้นตอนคัดกรองผู้ออกหุ้นกู้ การติดตามสัญญาณเตือน จนถึงการดำเนินการทางกฎหมาย ทำให้กระบวนการทั้งหมดทำงานสอดประสานและครบวงจร
ทั้งนี้อินเวสทรีใช้การคัดกรองผู้ออกหุ้นกู้อย่างเข้มงวดและติดตามใกล้ชิด การมีใบอนุญาตนี้ทำให้แพลตฟอร์มสามารถใช้มาตรการที่จำเป็นได้ทันที รวมถึงการดำเนินการหลังได้รับมติจากนักลงทุนได้รวดเร็ว และลดความเสี่ยงของผู้ลงทุนในกรณีหุ้นกู้ที่มีหลักประกัน ทำให้กระบวนการทั้งหมดโปร่งใสและตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
“นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่ปลดล็อกให้เราสามารถเสนอขายหุ้นกู้ Crowdfunding แบบมีหลักประกัน ได้เป็นครั้งแรกในไทยด้วย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจให้นักลงทุนโดยตรง ขณะเดียวกันระบบการคัดกรองและติดตามของอินเวสทรีทำงานอย่างเข้มงวด ทำให้ปัจจุบันพอร์ตมีหุ้นกู้ครบกำหนดและชำระคืนแล้ว 91% ผิดนัดชำระหนี้เพียง 2% และเรามีประวัติติดตามเรียกคืนหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ได้ 79%”
นายวรกรย้ำว่า ใบอนุญาตนี้จะยกระดับวินัยของผู้ออกตราสารหนี้ให้ปฏิบัติตาม และรักษามาตรฐานตามที่สัญญาไว้ ส่งผลให้ตลาดโดยรวมมีความเชื่อมั่นมากขึ้นและช่วยดึงดูดฐานนักลงทุนได้กว้างขึ้น ทั้งรายย่อยที่มองหาสินทรัพย์ทางเลือก และสถาบันที่ต้องการกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจน
นางสาวณัทสุดา ฉายภาพเพิ่มเติมว่า ในมุมมองของอินเวสทรีการขยายตัวของตลาดตราสารหนี้เอกชนสำหรับ SME จำเป็นต้องเดินคู่กับการพัฒนาระบบนิเวศให้ครบวงจร ประเด็นเชิงโครงสร้างที่ต้องเร่งอัปเกรดคือ “ข้อมูล” และ “กลไกค้ำประกัน” เพื่อให้ทุนไหลไปยังธุรกิจที่มีศักยภาพได้รวดเร็วขึ้น “หาก เครดิตบูโร สามารถนำข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) มาใช้ประเมินความสามารถในการชำระเงิน เช่น ข้อมูลธุรกรรมจริงจากคู่ค้าหรือระบบดิจิทัล จะช่วยให้ผู้ประกอบการที่ดีแต่ไร้หลักฐานแบบเดิมเข้าถึงทุนได้ง่ายขึ้น
ขณะเดียวกันการขยายขอบเขตการค้ำประกันสินเชื่อ (Credit Guarantee) ให้ครอบคลุมหุ้นกู้ รวมถึงการมีกลไก ปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน และการทบทวน กฎเกณฑ์ สิทธิประโยชน์ทางภาษี ให้เอื้อต่อการระดมทุนสำหรับ SME เพื่อให้ต้นทุนทางการเงินของ SME เสถียรมากขึ้นในระยะยาว ทั้งนี้กลไกทั้งหมดจะสมบูรณ์ได้ต้องอาศัย Capacity Building หรือการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการควบคู่กันไป โดยเฉพาะบทบาทนำของภาครัฐในการจัดทำโครงการพัฒนาผู้ประกอบการ SME อย่างต่อเนื่อง ทั้งการอบรมและให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านการบริหารธุรกิจ การเงิน และการจัดการต้นทุน เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและบริหารความเสี่ยงได้จริง
นายวรกร กล่าวเสริมว่า “เป้าหมายต่อจากนี้ของอินเวสทรีคือการขยายการระดมทุนให้ครอบคลุมทุกธุรกิจที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานหลังการออกตราสารหนี้บนฐานข้อมูลและการกำกับดูแลที่เข้มแข็ง ตลาดทุนสำหรับ SME จะโตได้จริงก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายเห็นชุดข้อมูลชุดเดียวกันและเชื่อมั่นในกระบวนการเดียวกัน เราจะเดินหน้าสร้างมาตรฐานนั้นร่วมกับภาคเอกชนและผู้กำกับดูแล เพื่อให้เงินทุนไหลไปสู่ผู้ประกอบการที่คู่ควร และผลตอบแทนกลับไปสู่นักลงทุนอย่างเป็นธรรม”
หมายเหตุ: ตัวเลขทั้งหมดเป็นข้อมูลจากการสรุปผลการดำเนินงานล่าสุดของอินเวสทรี (ไทยแลนด์) ณ ช่วงไตรมาส 2–3 ปี 2568 และอาจปรับปรุงได้ตามการปิดดีลและการชำระคืนในอนาคต
บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด
บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดตัวในปี 2561 และเดือน กุมภาพันธ์ 2564 บริษัทฯ ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้บริการระบบ Funding Portal หรือ Crowdfunding Platform บริหารโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปีในสายงานธนาคารพาณิชย์ วาณิชธนกิจ และการประเมินความเสี่ยงด้านการเงิน ภารกิจหลักคือการแก้ปัญหาช่องว่างทางการเงิน (Financing Gap) โดยทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมตรงระหว่างธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SME) ที่มีศักยภาพ กับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ