รักชนกชี้งบบูรณาการต่อต้านคอร์รัปชัน ไม่ทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น จี้หน่วยงานรัฐโปร่งใส ด้านศุภณัฐร่ายปัญหางบก่อสร้าง
วันนี้ (13 สิงหาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 11 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระ 2 และ 3 เป็นวันแรก โดยในการพิจารณามาตรา 4 ว่าด้วยภาพรวมของงบประมาณรายจ่าย
รักชนก ศรีนอก สส. กทม. พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2569 อภิปรายว่า ประเทศเราให้ความสำคัญกับการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่น โดยมีงบบูรณาการส่วนนี้เกือบพันล้านบาท แต่งบประมาณส่วนใหญ่ เป็นงบที่ใช้ในการอบรม และต้องมีงบวัดผลด้วย พร้อมถามว่า การอบรม และการวัดผลแบบเดิมๆ ทำให้ภาพลักษณ์เรื่องคอร์รัปชั่น และการปราบปรามดีขึ้นหรือไม่ แต่เราก็เห็นว่าไม่ดีขึ้นเลย จึงขอให้รัฐบาลพิจารณายกเลิกแผนบูรณาการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งยุทธศาสตร์ชาติก็เขียนไว้ว่า ต้องมีแผนการวัดผลในเรื่องนี้ จึงต้องไปแก้ในรัฐธรรมนูญด้วย
รักชนกกล่าวต่อไปว่า สิ่งที่อยากแนะนำที่ทำให้ภาพลักษณ์เรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นดีขึ้น 3 เรื่อง คือ กรมบัญชีกลางควรเปิดให้นำข้อมูลด้านการจัดซื้อจัดจ้างไปวิเคราะห์ได้แล้ว ซึ่งทางภาคประชาชนต้องไปเขียนโปรแกรมดึงข้อมูลออกมาเอง โดยการเขียนโปรแกรมนี้ก็ทำให้ระบบท่านรวน ดังนั้น ก็เปิดไปเลย ให้ได้ใช้ และนำข้อมูลไปวิเคราะห์ เพื่อมาช่วยดูว่าโครงการไหนส่อทุจริต หรือส่อประพฤติมิชอบ
ส่วนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องบัญชีทรัพย์สิน ทุกวันนี้ยังเปิดแค่ 90 วันอยู่ ก็ไม่อยากถามว่า ป.ป.ช. เป็นอะไร ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำได้ หากไม่เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินให้ดูได้ง่าย ๆ ก็บอกไปเลยว่าปีหน้างบประมาณที่ตั้งมาจะตัดอะไร ก็ขู่กันบ้าง จะได้ทำงานร่วมกันได้ และเอกสารในกรรมาธิการที่พิจารณา
“ดิฉันไม่เห็นว่า มีอะไรที่น่าปกปิด จึงเสนอไปว่ากรรมาธิการควรเปิดเผยเอกสารที่ไม่ได้ตีลับในกรรมาธิการออกไป ประชาชนใครที่อยากมาดู ก็เอาไปพิจารณากันได้ ประชาชนจะได้รู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมในการดูข้อมูลในงบประมาณ และเรื่องการถ่ายทอดสดที่มีการอ้าง แต่เอาง่ายๆ ว่าคือท่านไม่เอา ท่านก็ไม่อยากให้ถ่ายทอดสดด้วยเหตุผลร้อยแปดประการ แต่ในเมื่อนายกรัฐมนตรีแถลงเอาไว้ว่า อยากให้ภาพลักษณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นดีขึ้น ตัวเลขเพิ่ม แม้ว่านายกรัฐมนตรีใกล้จะหลุดในเร็ววันนี้ แต่ดิฉันเชื่อว่านายกรัฐมนตรีคนถัดไปก็ต้องมาแถลงอยู่ดี” รักชนกกล่าว
รักชนกกล่าวถึงอาสาสมัครชุมชน พร้อมยกตัวอย่าง กระทรวงสาธารณสุขมี อสม. อสส. ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ขณะนี้หลายพรรคการเมืองพยายามเข้าไปใช้เครือข่ายอาสาต่างๆ ในการทำเพื่อหวังผลทางการเมือง เชื่อว่าพ่อแม่พี่น้องประชาชนไม่ได้โง่ เขาดูออกว่านักการเมืองใช้เครื่องมือเหล่านี้ ที่จริงแล้วเป็นงบประมาณจากภาครัฐในการทำอะไร ซึ่งเมื่อใช้เครือข่ายอาสาในการทำปฏิบัติการบางอย่างสำเร็จลุล่วงไป เมื่อกระทรวงเห็น ก็เอาบ้าง
“ดิฉันเป็นกรรมาธิการมา 2 ปี โดยก่อนหน้ามีอาสาพัฒนาสังคม โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีเกือบทุกกรม เพราะหลายคนคงเห็นแล้วว่า การมีอาสา เมื่อเข้าไปเป็นรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงสามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง ดิฉันอยากให้รัฐบาลพิจารณารวบรวมอาสา มิเช่นนั้น ในอนาคตทุกกระทรวงจะมีอาสาหมดเลย และกลายเป็นภาระกับงบประมาณ ซึ่งสิ้นเปลืองณซ้ำซ้อน วัดผลอะไรไม่ได้ และเหมือนเป็นแขนเป็นขาให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงได้ไปปฏิบัติการอะไรบางอย่าง” รักชนกกล่าว
งบก่อสร้าง 3.2 แสนล้านบาท พบพิรุธเพียบ
ต่อมา ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส. กทม. พรรคประชาชน กล่าวถึงการพิจารณาของคณะอนุกรรมธิการที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ของ พ.ร.บ. งบประมาณฯ มีการของบประมาณด้านการก่อสร้างประมาณ 320,000 ล้านบาท ซึ่งประมาณ 57 % เป็นงบที่ใช้สร้างถนนอุโมงค์สะพานท่าเรือและสนามบินคิดเป็นงบฯ 180,000 ล้านบาท ส่วน 30 % งบสร้างเขื่อน ชลประทาน ทรัพยากร และการเกษตร คิดเป็นงบ 100,000 ล้านบาท ส่วนอีก 13 % งบสร้างอาคารบ้านพัก พิพิธภัณฑ์ และโรงพยาบาล คิดเป็น 40,000 ล้านบาท ซึ่งงบการก่อสร้างยังไม่ได้มีเท่านี้ ยังแทรกซึมอยู่ในคณะอนุกรรมาธิการฯ อื่นๆ อีก ใช้งบไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท
ที่ผ่านมา การของบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างยังคงมีปัญหาไม่ต่างจากเดิม และไม่มีการแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งได้สรุป 8 ปัญหา เบื้องต้น ทั้งการของบก่อสร้างที่ไม่ควรขอ เช่น การของบสร้างบ้านพักผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) 91 ล้านบาท ซึ่งตั้งใจจะสร้างเป็นศูนย์กลางบัญชาการ แต่ในแบบ ก็เป็นแบบบ้านพักธรรมดาและมีห้องจัดเลี้ยง
ปัญหาที่ 2 การก่อสร้างที่ขอขนาดใหญ่เกินความจำเป็น ทั้งที่สำนักงบมีระเบียบเรื่องของระเบียบอาคารให้เท่ากับจำนวนพนักงานเรียบร้อยแล้ว แต่กลับไม่มีใครนำไปใช้ออกแบบตึกใหญ่เกินมาตรฐานเพื่อจะได้ของบกันเยอะๆ เช่น ตึกกระทรวงคมนาคมมูลค่า 3,832 ล้านบาท ซึ่งเหมาะกับเจ้าหน้าที่ประมาณ 3,000 คน แต่นำไปใช้จริงแค่ 1,000 คน และมีที่จอดรถ 1,000 คัน ถือเป็นการผลาญงบประมาณที่สิ้นเปลืองที่มากกว่า 2,00 ล้านบาทไปแบบฟรี ๆ
ปัญหาที่ 3 ราคาต่อหน่วยแพงเกินจริง อย่างสำนักงาน กพ.ถูกตัดงบไป 40 % แล้วค่าตกแต่งตกตารางเมตรละ 58,000 บาท ซึ่งแพงกว่าราคาตลาดที่คิด 20,000 บาท ต่อตร.ม. ส่วนโรงพยาบาลราชทัณฑ์ถูกตัดลดไป 47 % เพราะค่าตกแต่งภายใน ตกเมตรละ 100,000 บาท แพงกว่าราคาตลาดทั่วไปหลายเท่า ของบางอย่างสเปคเหมือนกันแต่ราคาต่างกัน เพราะสำนักงบประมาณไม่มีการสแกน BOQ ว่าใครขออะไรอย่างไรเท่าไหร่ ทำให้คณะอนุกรรมาธิการฯ ต้องอ่าน BOQ หลาย 10,000 หน้า เพื่อตรวจสอบว่าใครยัดไส้อะไรเข้ามาบ้าง
ปัญหาที่ 4 การไม่บูรณาการและวางแผนใช้สอยอาคารร่วมกัน จนกลายเป็นธรรมเนียมหนึ่งกรมหนึ่งตึก ทั้งที่อยู่จังหวัดเดียวกันก็ต้องสร้างแยกกันเพราะอยากมีตึกเป็นของตัวเองไม่อยากใช้กับคนอื่น ที่สำคัญศูนย์ราชการจังหวัดก็ไม่เคยสอบถามว่ามีพื้นที่ว่างหรือไม่ ขอตั้งธงไว้ก่อนว่าจะสร้างตึกของตัวเองแยกออกมา แม้แต่ภายในกองทัพก็ไม่คิดจะแชร์อาคารร่วมกัน
ปัญหาที่ 5 ชอบสร้างไม่ชอบเช่าเพราะอยากมีเอี่ยวในการจัดจัดซื้อจัดจ้าง หลายหน่วยงานร้อนรนไม่สามารถเช่าออฟฟิศอยู่ได้ ต้องหาพื้นที่สร้างออฟฟิศเป็นของตัวเอง และชอบอ้างว่าค่าเช่าแพง แต่หากเทียบกับค่าลงทุนเช่าอาคาร 20 ปียังถูกกว่าสร้างเอง เช่น การสร้างบ้านพักข้าราชการในเมืองไม่จำเป็นต้องสร้างแล้วเพราะมีบ้านและคอนโดปล่อยเช่าเต็มไปหมด สร้างก็แพงกว่าแบบก็โบราณ และยังไม่ดูแล สุดท้ายก็ปล่อยให้เจ้าหน้าที่อยู่ตามยถากรรม ควรลงทุนให้กับข้าราชการ และปล่อยให้ออกไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอก การให้เงินอุดหนุนข้าราชการไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอกจะเป็นการกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน
ปัญหาที่ 6 อยากเป็น Operator สร้างแข่งกับเอกชน หน่วยงานควรใช้กลไกของภาครัฐในการสนับสนุนเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตขึ้นไม่ใช่ทำหน้าที่แข่งกับเอกชนเอง เช่น อาคารสำนักงานและจัดนิทรรศการของกรมส่งเสริมวัฒนธรรมมูลค่า 873 ล้านบาท สร้างไว้เพื่อซ้อมดนตรีกับจัดนิทรรศการ แทนที่จะไปร่วมมือกับมหาลัยเพื่อขอใช้พื้นที่ในตารางเมตรที่ถูกกว่า กลับใช้ที่ดินใจกลางรัชดาที่มีราคาสูงสร้างสำนักงานเป็นของตัวเอง
ปัญหาที่ 7 การใช้ที่ดินสิ้นเปลือง และโครงการเป็นแบบสร้างมาตรฐานขนาดเท่ากันแต่ใช้ที่ดินต่างกัน
ปัญหาที่ 8 การจัดงบแบบผิดฝาผิดตัว เช่นกระทรวงกลาโหม ควรโฟกัสที่ภารกิจหลัก แต่ก็ไปแย่งงานจากหน่วยงานอื่น เช่น การสร้างโรงพยาบาลแข่งกับกระทรวงสาธารณสุข การทำน้ำประปาแข่งกับกระทรวงมหาดไทย การบริหารบ่อน้ำมันแข่งกับกระทรวงพลังงาน และยังมีโรงแรม มีสนามกอล์ฟ มีศาลทหาร เป็นของตัวเอง
จากปัญหาเหล่านี้ การตั้งงบของรัฐบาล ที่ไร้ประสิทธิภาพ และไม่เคยแก้ไขได้เลย แม้แต่ปีเดียว จึงขอเสนอปรับลด 1% ในภาพรวมเพื่อรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริง