นักวิจัย มช. ‘ค้นพบ’สมองเสื่อมเพราะ’อ้วนลงพุง’
ท่ามกลางกระแสโลกที่พุ่งทะยานด้วยพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีชีวภาพ การจะก้าวขึ้นเป็นผู้สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกได้ จำเป็นต้องเร่งปฏิรูปทั้งวิธีคิดและวิธีทำ ประเทศไทยจึงต้องเดินเกมอย่างจริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในสมองและศักยภาพของคน ผลักดันการพัฒนาทุนมนุษย์และองค์ความรู้ที่เป็นแกนกลางของการขับเคลื่อนประเทศ เพื่อสร้างพลังแข่งขันที่ยืนหยัดได้ในเวทีโลก
มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้ดำเนินงานโครงการรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ไทย มีกำลังใจในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ และเป็นเป้าหมายที่เยาวชนจะพึงมุ่งพัฒนาตนให้เป็นกำลังด้านวิทยาศาสตร์และและเทคโนโลยีของประเทศ
ล่าสุดทางมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฯ ได้ประกาศผู้ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 44 โดยจะได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับผู้ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2568 ได้แก่ ศ. (เชี่ยวชาญพิเศษ) ดร. ทพญ. สิริพร ฉัตรทิพากร ภาควิชาชีววิทยาช่องปากและวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปาก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากผลงานวิจัย พยาธิสรีรวิทยาของระบบประสาทด้านการบกพร่องการเรียนรู้และความจำ: จากแบบจำลองสัตว์สู่การศึกษาทางคลินิก
ในส่วนรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ประจำปี 2568 ได้แก่ ดร. สมาพร ติญญนนท์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ผู้พัฒนาการสังเกตการณ์และสร้างอุปกรณ์ดาราศาสตร์ เพื่อศึกษาวิวัฒนาการและการสิ้นอายุขัยของดาวฤกษ์มวลมาก และดร. ศิรสิทธิ์ ศรีนวลปาน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านความหลากหลายของจุลินทรีย์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพของสาหร่ายและไซยาโนแบคทีเรียในด้านการเกษตร อาหาร พลังงานและสิ่งแวดล้อม
ศ. ดร.จำรัส ลิ้มตระกูล ประธานคณะกรรมการรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น กล่าวว่า การวิจัยขั้นแนวหน้า (Frontier Research) เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกประเทศไทยจากกับดักรายได้ปานกลาง และขับเคลื่อนไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เปรียบเทียบพัฒนาการทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยและเกาหลีใต้ ตั้งแต่ปี 1970 ซึ่งในเวลานั้นทั้งสองประเทศมีระดับความยากจนใกล้เคียงกัน แต่ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจหลายครั้ง โดยเฉพาะวิกฤตต้มยำกุ้ง แม้จะสามารถฟื้นตัวได้และทำให้ GDP ต่อหัวเพิ่มขึ้นราว 5 เท่า
ศ. ดร.จำรัส กล่าวต่อว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเกาหลีใต้ที่ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) มากกว่า 5% ของ GDP จนมีสิทธิบัตรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก ส่งผลให้ GDP ต่อหัวเพิ่มขึ้นกว่า 130 เท่าในรอบ 50 ปี ขณะที่ไทยเพิ่มขึ้นเพียง 26 เท่าในช่วงเดียวกัน ทั้งนี้ข้อมูลจาก Nature Index Research Leaders ชี้ว่าไทยมีส่วนร่วมในงานวิจัยขั้นแนวหน้าเพียง 10% ของสิงคโปร์ และไม่ถึง 5% ของเกาหลีใต้ จึงจำเป็นต้องเพิ่มสัดส่วนการลงทุน R&D ต่อ GDP ให้สูงขึ้น
“การลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมควรมุ่งใน 4 ด้านหลัก คือ พลังงานและสิ่งแวดล้อม วัสดุขั้นสูง เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังสอดคล้องกับรายงานของ MIT Technology Review ที่ระบุว่า AI พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีชีวภาพ คือแรงขับเคลื่อนสำคัญของโลก ซึ่งในประเทศไทยแม้มีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยที่มีศักยภาพสูง แต่จำนวนยังจำกัด การมอบรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นจึงมีบทบาทสำคัญไม่เพียงสร้างผลงานที่ใช้ประโยชน์ได้จริง แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนรุ่นใหม่ก้าวสู่เส้นทางการวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมที่จะยกระดับศักยภาพของประเทศอย่างยั่งยืน” ศ. ดร.จำรัส กล่าว
นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2568 ศ. (เชี่ยวชาญพิเศษ) ดร.ทพญ. สิริพร ฉัตรทิพากร กล่าวถึงงานวิจัยว่า จากผลงานวิจัยเชิงลึกที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับเซลล์ไปจนถึงผู้ป่วยทางคลินิก โดยมุ่งศึกษาพยาธิสภาพของสมองในผู้ที่มีภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้และความจำ หรือภาวะสมองเสื่อม ซึ่งเกิดจากสาเหตุ หลากหลาย เช่น ภาวะอ้วนลงพุง ภาวะชราภาพ ภาวะหัวใจขาดเลือด และการใช้ยาเคมีบำบัด มีความสนใจเกี่ยวกับภาวะอ้วนลงพุงส่งผลต่อสมอง เพราะส่วนทุกคนอาจจะเข้าใจว่าอ้วนลงพุงมีผลกับิวัยวะส่วนอื่นๆมากกว่าสมอง แต่จากการศึกษาสัตว์ทดลองพบว่า สัตว์อ้วน ไขมันสูง และดื้ออินซูลิน จากการทานอาหารที่ไม่ดี จะเริ่มสมองเสื่อม เนื่องจากไขมันสะสมและดื้ออินซูลินในสมอง ทำให้เกิดการอักเสบ เซลล์สมองถูกทำลาย การสื่อประสาทลดลง จนเกิดภาวะสมองเสื่อม
ศ. (เชี่ยวชาญพิเศษ) ดร.ทพญ. สิริพร กล่าวต่อว่า เมื่อได้ศึกษาในมนุษย์ พบว่าผลลัพธ์คล้ายสัตว์ทดลอง คือผู้ที่อ้วนลงพุง การเรียนรู้และความจำลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผู้ที่อายุน้อย สมองจะเสื่อมก่อนวัย ทำให้เกิดภาวะสมองแก่ก่อนวัย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเพราะสมองเสื่อมส่งผลต่อครอบครัวและสังคม นอกจากนี้ภาวะอ้วนลงพุงยังทำให้การทำงานของร่างกายและสมองผิดปกติ ตัวรั้วป้องกันสมอง (blood-brain barrier) เสื่อม ทำให้สารที่ไม่ดีจากร่างกายเข้าสู่สมองได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะสมองเสื่อม
“ปัจจัยหลักเกิดจากการบริโภคอาหารไขมันสูงต่อเนื่องทำให้เกิดความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ กระตุ้นการอักเสบในทางเดินอาหาร และสะสมไขมันในร่างกาย นำไปสู่ภาวะอักเสบระดับต่ำทั่วร่างกาย ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความผิดปกติของไมโทคอนเดรีย และการทำงานผิดปกติของเซลล์ไมโครเกลียในสมอง ส่งผลต่อการเรียนรู้และความจำ อ้วนลงพุงเรื้อรังยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการสะสมเบต้า-อะไมลอยด์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของภาวะสมองเสื่อม นอกจากนี้พบความผิดปกติของไมโทคอนเดรียในเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจใช้เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพของการเสื่อมของสมอง” ศ. (เชี่ยวชาญพิเศษ) ดร.ทพญ. สิริพร กล่าว
ภาวะสมองเสื่อมสามารถฟื้นฟูได้ ศ. (เชี่ยวชาญพิเศษ) ดร.ทพญ. สิริพร กล่าวถึงผลการวิจัยที่พบว่า สามารถใช้ยา เช่น ยาต้านเบาหวาน แม้ผู้ป่วยยังไม่เป็นเบาหวาน หรือวิธีไม่ใช้ยา เช่น การลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย การอดอาหารระยะสั้นเพียงอย่างเดียวไม่ช่วย แต่การออกกำลังกายต่อเนื่องสามารถปรับปรุงคุณภาพสมองให้กลับมาเป็นปกติได้