“วิญญัติ” เผย กระแส "ทักษิณ" จะเดินทางออกนอกประเทศ เป็นเพียงการคาดเดาจากคนบางกลุ่ม
“วิญญัติ” เผย นาทีศาลยกฟ้อง “ทักษิณ” ปม ม.112- พ.ร.บ.คอมฯ เจ้าตัวยิ้มหวาน พูดสั้นๆว่า ‘ยกฟ้อง’ ด้านวิญญัติ บอก คำวินิจฉัยการสอบพยานฝ่ายโจทย์มีอคติ พิสูจน์ไม่ได้ว่าคลิปมีการตัดต่อ ยึดหลักไวยกรณ์-พจนานุกรม ตีความ ‘ทักษิณไม่ได้พาดพิงสถาบัน’ ส่วน กระแสจะเดินทางออกนอกประเทศ เป็นเพียงคาดเดาในทางลบจากคนบางกลุ่ม
วันที่ 22 ส.ค. 68 ที่ ศาลอาญารัชดา นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้ารับฟังคำพิพากษาคดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้องนายทักษิณ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 กล่าวว่า ศาลอ่านคำพิพากษายกฟ้องทั้งสองคดี คือ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ส่วนเหตุผลในการยกฟ้องนั้นมีหลากหลาย โดยทั้งหมดคือการสืบพยานฝ่ายโจทก์ ส่วนในเหตุผลหลักๆคือ การสืบพยานของฝ่ายโจทก์นั้นไม่สมกับคำฟ้อง ไม่สมกับภาระการสืบ
โดย นายวิญญัติ ได้ยกตัวอย่าง การให้สัมภาษณ์ของนายทักษิณกับสื่อเกาหลีใต้ ศาลเห็นว่าการนำคลิปที่สัมภาษณ์มานั้น ศาลใช้หลักการช่างน้ำหนักตัววัตถุพยานศาล เชื่อว่ามีการสัมภาษณ์ที่ประเทศเกาหลีใต้ และมีบทสัมภาษณ์เต็มมากกว่าในคลิปวิดีโอที่นำคลิปมาเป็นเพียงแค่บางส่วนบางและบางถ้อยคำเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งตามข้อเท็จจริงต้องเป็นภาระของฝ่ายโจทก์ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ ก็ไม่ต้องพิสูจน์ว่าคลิปมีการตัดต่อหรือไม่ แต่ฝ่ายโจทก์ไม่ได้มีการพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าคลิปมีการตัดต่อ ซึ่งศาลก็รับฟังด้วยความระมัดระวัง และเชื่อว่ามีการสัมภาษณ์แต่การให้สัมภาษณ์นั้น ต้องไปตีความว่าหมายถึงบุคคลซึ่งสามารถตีความและรับฟังเข้าใจได้ว่าเป็นบุคคลตามมาตรา 112 หรือไม่
โดยศาลใช้หลักวินิจฉัยซึ่งประกอบด้วยหลัก ไวยากรณ์ ประธาน กิริยาและกรรม ซึ่งศาลมองว่าไม่ใช่บุคคลที่เฉพาะเจาะจงเป็นบุคคลที่อยู่ในมาตรา 112 แม้จะมีสรรพนามว่าเขาที่ทางฝ่ายโจทก์ได้นำมาตีความ ศาลมองว่ารับฟังได้น้อยมาก เนื่องจากพยานที่มาให้ความเห็นนั้นมีความเป็นอคติต่อจำเลย ซึ่งจำเลยได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพยานกลุ่มนี้มีความเกี่ยวข้องกับทางด้านการเมืองในอดีต เช่น การขึ้นเวที และให้ความเห็นที่ขัดแย้งในชั้นการสอบสวน บางถ้อยคำของพยานก็นึกเองว่าจำเลยน่าจะพูดแบบนั้นแบบนี้เป็นต้น
นอกจากนี้ศาลยังใช้หลักการตามพจนานุกรม ฉบับอ็อกซ์ฟอร์ดที่แปลความหมาย ตามคำฟ้องแปลว่าอะไรบ้าง ซึ่งตนไม่ขอลงรายละเอียดในเรื่องนี้ แต่รับฟังได้ว่าความหมายดังกล่าว ไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์ เมื่อไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ไม่เข้าองค์ประกอบภายนอกของมาตรา 112 และอีกประการหนึ่งคือองค์ประกอบของการกระทำ ที่ถูกกล่าวหาว่าดูหมิ่นประมาทแต่การพูดของนายทักษิณ ศาลเชื่อว่าไม่สามารถทำให้เข้าใจได้ว่า มีเจตนาเพราะด้วยพยานของฝ่ายโจทก์นั้นเป็นฝ่ายตรงข้าม
ในส่วนประการต่อมาศาลเห็นว่า พยานที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ของฝ่ายจำเลยเป็นข้าราชการมีความรู้ความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงการปฏิเสธของจำเลยตั้งแต่ต้น ว่าภารการพิสูจน์นั้นเป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ ที่จะต้องพิสูจน์ว่าคลิปวิดีโอแปลความมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ เพื่อให้มีน้ำหนักให้ศาลรับฟัง ส่วนเรื่องการสอบสวนในอดีต ก็อยู่ในการพิจารณาของศาลด้วยเช่นกัน
ส่วนในเรื่องของเจตนา การให้สัมภาษณ์ของนายทักษิณ ชินวัตร นายวิญญัติกล่าวว่า ศาลได้นำมาวินิจฉัยเจตนาจากพยานและหลักฐานของฝ่ายโจทก์ก่อน ซึ่งการสืบพยานของจำเลยทำให้ศาลได้เห็นว่าในขณะที่นายทักษิณชินวัตรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 6 ปี และพฤติกรรมอื่น ๆ ได้แสดงออกชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์ไม่มีการพาดพิงถึงพระมหากษัตริย์ แต่มีคนนำไปเผยแพร่ ให้เข้าใจผิดจนปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถหาตัวบุคคลมาลงโทษได้ ซึ่งศาลเห็นว่านายทักษิณนั้นไม่มีเจตนา
ในกรณีที่ทางฝ่ายโจทก์จะมีการยื่นอุทธรณ์ในคดีนี้ มีความกังวลใจมากน้อยแค่ไหน นายวิญญัติตอบว่า ในคดีนี้ศาลได้ยกฟ้องการอุทธรณ์เป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ คือ อัยการว่ามีประเด็นใดที่อยากอุทธรณ์ แต่เราในฐานะทนายความฝ่ายจำเลย การอุทธรณ์ในประเด็นใด มักจะอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย หากข้อกฎหมายยังเห็นไม่ตรงกันก็จะสามารถอุทธรณ์ได้แต่ถ้าข้อเท็จจริงที่สุดแล้วว่าอะไรชัดแล้วศาลได้วินิจฉัยอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ตนมองว่าประเด็นที่อัยการจะอุทธรณ์นั้นจะมีเรื่องอะไร อีกทั้งศาลได้วินิจฉัยข้อกฎหมายก่อนและตามด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่เอาข้อเท็จจริงมาประกอบข้อกฎหมาย ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ
ซึ่งหากมีการยื่นอุทธรณ์ในชั้นต่อไป จะมีความกังวลใจในด้านใดบ้าง ทนายวิญญัติตอบว่า ตนไม่มีความกังวลใจใด ๆ เพราะเป็นสิทธิ์ของฝ่ายโจทก์ ถ้าอุทธรณ์มาเราก็แก้อุทธรณ์ไป แล้วต้องดูว่าอัยการจะมีการพิจารณาอย่างไร แต่ได้เน้นย้ำว่าการอุทธรณ์ไม่ใช่สักจะอุทธรณ์ต้องดูสาระสำคัญหรือมีข้อกฎหมายที่จะต้องอุทธรณ์หรือไม่ ซึ่งก็มีหลายเรื่องที่อัยการไม่อุทธรณ์ จากประสบการณ์กระทำคดีทางการเมืองมา แต่อีกสักพักสังคมก็จะไปกดดันให้มีการอุทธรณ์เช่นเดียวกับที่มีการกดดันให้ดำเนินคดีกับนายทักษิณในครั้งนี้ ซึ่งความกดดันของสังคมความเห็นของสังคมที่เป็นผู้ทำลายหรือแย่งชิงอำนาจและการเมือง เป็นปัญหาของระบบ กระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งตนไม่อยากให้ศาลตกเป็นเครื่องมือของความขัดแย้ง ดังนั้น ตนเชื่อว่าการอุทธรณ์จะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน
เมื่อถามว่าหลังจากที่ศาลยกฟ้องนั้นนายทักษิณได้พูดคุยอะไรหรือไม่ นายวิญญัติตอบว่า “นายทักษิณยิ้มครับ ท่านยิ้มครับ ท่านดีใจและขอบคุณทีมทนายความและท่านก็บอกว่าต่อไปนี้จะได้ทำคุณประโยชน์เพื่อประเทศชาติอย่างเต็มที่ ท่านพูดแบบนี้” ส่วนท่าทีของนายทักษิณในช่วงระหว่างรับฟังคำพิพากษาของศาล มีท่าทีนิ่งเฉยเพื่อรับฟังคำพิพากษา ด้วยสมาธิ เมื่อศาลอ่านคำวินิจฉัยถึงท่านว่า “พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักในการอุทธรณ์ ขอยกฟ้อง” นายทักษิณได้ยิ้มออกมาและดีใจ ซึ่งนายวิญญัติก็บอกว่าตนก็ดีใจ เพราะว่าข้อกล่าวหานี้ทำมาเพื่อเล่นงานนายทักษิณ ซึ่งถือว่านายทักษิณตกเป็นเหยื่อ และตนขอยืนยันว่านายทักษิณตกเป็นเหยื่อและได้พิสูจน์ตนเอง โดยเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์อย่างเต็มที่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กรณีนี้ศาลยกฟ้องคดีทักษิณชินวัตรละเมิดมาตรา 112 จะกลายเป็นสองมาตรฐานกับคดีบุคคลอื่นที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองลักษณะนี้หรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ตนพูดได้เต็มปากว่าในฐานะทนายความจำเลยศาลได้นำคำถามค้านและนำข้อต่อสู้ของจำเลยมาพิจารณา ช่างน้ำหนักกับพยานของฝ่ายโจทก์ ในฐานะทนายความตนดีใจที่เราทำหน้าที่เต็มที่ โดยสาระสำคัญของคดีจะลงรายละเอียดให้ในอนาคต ส่วนคดีมาตรา 112 จะถูกจับตามองจากสังคมหรือไม่เป็นเรื่องของการเมือง ประเทศไทยดำรงอยู่ได้เพราะการเมืองการที่การเมืองให้เป็นปัญหาการวินิจฉัยในคดีมาตรา 112 ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ฝ่ายรัฐนำมาเป็นเครื่องมือดำเนินการกับประชาชนหรือคนที่มีความคิดต่าง แต่ตนไม่ได้หมายความว่าถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จะต้องเห็นใจ ขอให้แยกการกระทำและพฤติกรรมของแต่ละคนที่มีการโต้แย้งในสภาเป็นเรื่องของกฎหมาย หากกฎหมายมันเก่าก็เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ยอมรับว่ามาตรา 112 ได้ถูกนำมาใช้ทางการเมือง
นายวิญญัติ เปิดเผยอีกว่า หลังจากนี้นายทักษิณ บริสุทธิ์เป็นบุคคลผู้บริสุทธิ์คำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศจะยื่นคำร้องต่อศาลให้มีการถอดถอนส่วนหนังสือเดินทางที่มีการยึดไว้จะมีการขอคืน แต่ส่วนตัวเชื่อว่านายทักษิณจะยังเดินทางไปต่างประเทศในช่วงนี้ ซึ่งยังมีภารกิจที่หลากหลาย
นอกจากนี้ นายวิญญัติเปิดเผยว่า ยังคงทำหน้าที่ทนายความในคดีชั้น 14 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งจะมีนัดสำคัญในวันที่ 9 กันยายนนี้ โดยทีมทนายความกำลังทบทวนประเด็นต่าง ๆ ที่อาจนำเสนอต่อศาลเพิ่มเติม แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ย้ำว่าการทำงานจะยังคงมุ่งเน้นการต่อสู้คดีตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
เมื่อถามถึงความกังวลระหว่างคดีมาตรา 112 และคดีชั้น 14 ที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น นายวิญญัติ ระบุว่า ไม่อาจเปรียบเทียบได้ และไม่มีความกังวลทั้งสองเรื่อง เพราะหน้าที่ทนายความคือการทำงานตามกระบวนการ พร้อมยืนยันว่าในวันที่ 9 กันยายน นายทักษิณจะเดินทางไปศาลฎีกาด้วยตนเอง เพราะนายทักษิณไม่ได้มีการปฏิเสธที่จะไป แต่ก่อนหน้านี้เพียงแต่การมอบอำนาจให้ทนายความไปแทนเป็นเรื่องที่ทำได้ตามกฎหมาย และที่ผ่านมาเจ้าตัวก็ไม่เคยหลบเลี่ยงนัดพิจารณา
ทั้งนี้สำหรับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่านายทักษิณอาจเดินทางออกนอกประเทศก่อนถึงวันนัด นายวิญญัติ ชี้แจงว่า เป็นเพียงการคาดเดาในทางลบจากบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งไม่ควรนำมาสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม เพราะที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า นายทักษิณไม่เคยหลบหนี พร้อมฝากประชาชนใช้สติปัญญาในการรับข้อมูลข่าวสาร เพราะข่าวลวงและการบิดเบือนอาจเป็นเหมือน “อากาศพิษ” ที่ทำลายการรับรู้หากขาดการไตร่ตรอง