คุก 'ชูวิทย์' 12 เดือน คดีด้อยค่า 'สันธนะ' เจ้าตัวอุทธรณ์สู้ต่อ
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2568 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ศาลอ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ และนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจนอกราชการ ยื่นฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตนักการเมือง นักธุรกิจชื่อดัง เป็นจำเลยฐานหมิ่นประมาทฯ และดูหมิ่นฯ
คำฟ้องสรุปเมื่อวันที่ 23 พ.ย.2565 เวลากลางวันเลยใส่ความหมิ่นประมาท และดูหมิ่นนายสันธนะ ประยูรัตน์ ผู้เสียหายต่อหน้าผู้เสียหาย ผู้สื่อข่าวช่างภาพ เเละประชาชนทั่วไป ในขณะที่ผู้สื่อข่าวและช่างภาพของบริษัท วอยซ์ทีวี จำกัด กำลังถ่ายทอดลดผ่านช่องทางแพลตฟอร์มยูทูบ แอปพลิเคชันยูทูบ) โดยจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าผู้สื่อข่าว และช่างภาพของบริษัท วอยซ์ทีวี ถ่ายทอดสดผ่านช่องทางแพลตฟอร์มยูทูบ ที่บุคคลหัวไปสามารถเข้าชมและแสดงความคิดเห็นได้ อันเป็นการเผยแพร่ทั่วราชอาณาจักร
ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าในอดีตผู้เสียหายมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการพนัน เป็นผู้กระทำผิดต่อกฎหมาย เป็นคนโกหก เคยขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธและข่มขืนใจเจ้าพนักงาน เป็นผู้ประพฤติชั่วร้ายแรงเป็นบุคคลที่โดนไล่ออกจากราชการถอดและเรียกคืนเครื่องราชและถูกถอดยศตำรวจเนื่องจากกระทำผิดวินัยร้ายแรง โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง การกระทำของจำเลยจึง เป็นการหมิ่นประมาทผู้เสียหายโดยการโฆษณา และข้อความของจำเลยมีคำด่าอันเป็นคำพูดดูถูกเหยียดหยาม สบประมาท และทำให้ผู้เสียหายได้รับความอับอายเสียหาย อันเป็นการดู หมิ่นผู้เสียซึ่งหน้า เหตุเกิดที่แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และทั่วราชอาณาจักร
ก่อนคดีนี้ ในขณะที่จำเลยมีอายุเกินกว่าสิบแปดปี จำเลยเคยกระทำความผิดและต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทน่งทางการเมืองให้ลงโทษจำคุก 1 เดือน ในความผิดฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ช.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ โดยจำเลยพ้นโทษเมื่อวันที่ 21 ก.ค.2563 ภายในระยะเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษในคดีดังกล่าว จำเลยได้กระทำความผิดในคดีนี่อีก อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ศาลพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328,393 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานหมิ่นประมาทโฆษณา ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุก 9เดือน เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92เป็นจำคุก 12 เดือน ทางพิจารณาของจำเลยซึ่งยอมรับข้อเท็จจริงว่าได้พูดถ้อยคำตามคลิปภาพและเสียง จริง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 เดือน ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้นับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่น ศาลยังไม่มีคำพิพากษา และมีคดีที่ศาลมีคำพิพากษากษายกฟ้อง จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้
ต่อมานายชูวิทย์ ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ ขอปล่อยชั่วคราว ระหว่างอุทธรณ์
ศาลพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายชูวิทย์ จำเลยระหว่างอุทธรณ์คดีวงเงินประกันจำนวน 30,000 บาท