กนง. ยันไม่ใช่ดอกเบี้ยขาลง แต่ผ่อนคลายเพิ่ม พร้อมจับตาแบงก์เข้มปล่อยกู้
กนง. ชี้ ลดดอกเบี้ยรอบล่าสุดเป็นเพียงการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ไม่ใช่สัญญาณ Easing Cycle จับตาประเด็นแบงก์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ กระทบเอสเอ็มอีและครัวเรือนรายได้น้อยกู้ยากมากขึ้น
13 สิงหาคม 2568 นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยภายหลัง คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 1.50 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ว่า
การตัดสินใจของกนง.ครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของกลุ่มเปราะบางทั้งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัจจัยภายนอก เช่น แรงกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และสินค้านำเข้าที่ไหลทะลักเข้ามา รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังอยู่ การลดดอกเบี้ยจึงเป็นมาตรการที่ช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายและทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินเอื้อต่อการปรับตัวมากขึ้น โดยไม่อยากให้ปัญหาเรื่องภาระด้านการเงินเข้าไปซ้ำเติมเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดีตั้งแต่ที่ประชุม 16 ต.ค.2567 จนถึงปัจจุบัน 13 ส.ค.2568 กนง.มีการปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่ 4 ในรอบปีที่ผ่านมาแล้ว ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงรวม 1% แล้ว ขณะที่ภาพเงินเฟ้อไม่ได้เป็นอุปสรรคในการปรับลดลง โดยผลเงินเฟ้อที่ต่ำมาจากอุปทานเป็นหลักและยังไม่เห็นสัญญาณเงินฝืด
“การลดดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ไม่ได้มีการคุยว่าทิศทางดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง (Easing Cycle) จากภาวะเศรษฐกิจที่แย่ แต่เป็นการอยู่ในระดับนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติม ช่วยรองรับความเสี่ยงในระยะข้างหน้าระดับหนึ่ง แต่การรักษาพื้นที่ทางนโยบาย (Policy Space) เป็นสิ่งจำเป็น และประสิทธิผลของการส่งผ่านจะลดลงเมื่อลดดอกเบี้ยลดลงไปเรื่อยๆ”
ขณะค่าเงินบาทที่ตั้งแต่ต้นปีแข็งค่านำกลุ่มประเทศที่ได้รับอัตราภาษีสหรัฐ ฯ ใกล้เคียงกัน โดยการแข็งค่าของเงินบาทมาจากปัจจัยด้านราคาทองคำที่เมื่อราคาทองคำเพิ่มขึ้นค่าเงินบาทจะแข็งค่า โดยธปท.อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากนี้ที่ผ่านมาพบว่ามีเงินทุนไทยเข้ามาในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยธปท.จะดูแลการเคลื่อนไหวของเงินบาทให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจผ่านการใช้เครื่องมือที่มี
นายสักกะภพ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 68 มีแนวโน้มชะลอลง จะเริ่มเห็นผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ขณะที่แรงส่งของเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอื่นมีแนวโน้มแผ่วลงโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว นอกจากนี้ผลกระทบของภาษีสหรัฐฯ จะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะ SMEs
ขณะที่แนวโน้มสินเชื่อโดยรวมชะลอตัวเพราะอยู่ในช่วงลดการก่อหนี้ (Deleverage) จากภาระหนี้ที่สูง ส่วนหนึ่งจากมาตรการช่วยเหลือช่วง COVID ที่การปล่อยสินเชื่อสูงไปแล้วทำให้หนี้ภาคเอกชนโดยรวมยังขยายตัวแม้เศรษฐกิจหดตัวสูง ส่วนยอดคงค้างสินเชื่อชะลอลงจากการเร่งชำระคืนหนี้เป็นสำคัญและการสินเชื่อปล่อยใหม่โดยรวมยังทรงตัว
นอกจากนี้สินเชื่อหดตัวต่อเนื่องตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ ขณะที่คุณภาพสินเชื่อโดยรวมปรับด้อยลงโดยเฉพาะ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดย ณ พ.ค.2568 พบว่า NPL สินเชื่อ SMEs อยู่ในระดับมากกว่า 8% ขณะที่ NPL สินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ในระดับที่มากกว่า 4 %
อย่างไรก็ดีสินเชื่อที่ชะลอลงอาจเป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจภาคส่วนที่เปราะบาง ซึ่งพบว่าสถาบันการเงินปรับลดวงเงินการใช้สินเชื่อของกลุ่ม SMEs และระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มเสี่ยงสินเชื่อ SMEs โดยสถาบันการเงินไม่ได้ปรับมาตรฐาน (underwriting standard) เข้มขึ้นชัด แต่ระมัดระวังมากขึ้นในกลุ่มสินเชื่อใหม่กับกลุ่มลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ขณะที่ โดยการปล่อยทำให้การเข้าถึงสินเชื่อของกลุ่ม SMEs ยากลำบากกว่ารายใหญ่ สินเชื่อรายย่อย สถาบันการเงินปรับมาตรฐาน (underwriting standard) เข้มขึ้นบ้างสำหรับลูกหนี้กลุ่มความเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มรายได้น้อยมีการเพิ่มเงินดาวน์และปรับเกณฑ์รายได้ขึ้นต่ำในการขอสินเชื่อ
“ในประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสนับสนุนมาตรการทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบางด้วย”