หัวเว่ยดัน FusionCube HCI ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทย
นายเชลดอน หวัง รองประธานอาวุโส ธุรกิจเอนเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการนำเสนอแนวทางใหม่ในการสนับสนุนองค์กรไทยสู่ยุคดิจิทัล ด้วยโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพ และความทนทานของระบบโครงสร้างพื้นฐานไอที พร้อมเสริมพันธมิตรทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก
โดยผ่านโซลูชัน Huawei FusionCube HCI ซึ่งเป็นการดำเนินการร่วมกับวีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) (VST ECS (Thailand) โดยมีการจัดงานภายใต้แนวคิด Always Intelligent, Always Resilient รวมถึงเผยกลยุทธ์ผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลในภูมิภาค ผ่านการใช้งาน Hyper-Converged Infrastructure (HCI) ซึ่งกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรในการลดต้นทุน เพิ่มความคล่องตัว และตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
ทั้งนี้ กระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม โดย FusionCube เป็นรากฐานอัจฉริยะ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเสถียรขั้นสูงและระบบปฏิบัติการและบำรุงรักษา (O&M) แบบอัจฉริยะ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้าน O&M ในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเสริมศักยภาพให้องค์กรไทยก้าวสู่อนาคตดิจิทัลด้วยความมั่นใจและความยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับ Huawei FusionCube HCI ถือเป็นโซลูชันแบบ Full-Stack Plug-and-Play ที่ผสานการทำงานของ การประมวลผล (Computing) ,การจัดเก็บข้อมูล (Storage) ,ระบบเครือข่าย (Network) และความปลอดภัย (Security) เข้าด้วยกันในแพลตฟอร์มเดียว รองรับการใช้งานในหลายอุตสาหกรรม เช่น การศึกษา สาธารณสุข การคมนาคม การผลิต และภาครัฐ พร้อมรองรับการขยายระบบอย่างยืดหยุ่นตามความต้องการจริงของธุรกิจ ปัจจุบันโซลูชันนี้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามากกว่า 12,000 องค์กรทั่วโลก
สำหรับจุดเด่นของ FusionCube HCI ได้แก่ 1.ใช้งานง่ายแบบ Plug-and-play - สามารถติดตั้งระบบได้ภายในไม่กี่นาที และขยายทรัพยากรได้ด้วยการคลิกเดียว
,2.ความทนทานและเสถียรภาพสูง - ระบบทำงานต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมรองรับการขยายตัวตามความต้องการ
และ3.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน - จากกรณีศึกษาจริงในอุตสาหกรรมการขนส่ง ระบบการจัดการและดูแลรักษาอัจฉริยะ (Intelligent O&M) ของ FusionCubeช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้ถึงสองเท่า และลดต้นทุนการปฏิบัติงานลงได้มากถึง 30%