สรุปผลงาน กลุ่ม PTT งวด Q2 - ครึ่งปี 68
เข้าสู่ช่วงเทศกาลประกาศผลการดำเนินงาน ไตรมาส 2/68 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ซึ่ง "กลุ่มพลังงาน" นำโดย PTT สะท้อนภาพรวมแสดงให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวในบางบริษัท แต่หากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) มีกำไรที่ลดลง ซึ่งทาง "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ได้รวบรวมรายละเอียดในแต่ละบริษัทในกลุ่ม ปตท. เอาไว้ดังนี้
*** PTT ดันกำไร Q2/68 ที่ 2.15 หมื่นลบ.
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ในฐานะบริษัทแกนนำของกลุ่มธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีของประเทศ ในไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิจำนวน 21,533 ล้านบาท ลดลง 13,936 ล้านบาท หรือ 39.3% จากในไตรมาส 2/67 ที่จำนวน 35,469 ล้านบาท ตาม EBITDA ที่ลดลงประกอบกับ ในไตรมาส 2/68 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ(Non-recurring Items) สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นกำไรประมาณ 4,200 ล้านบาท โดยหลักจาก บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) (TOP) มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมจากการซื้อกิจการในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของการเข้าซื้อหุ้นและควบรวมโรงกลั่นน้ำมันของกลุ่มเชลล์ในสิงคโปร์ ขณะที่ในไตรมาส 2/67 มีกำไรประมาณ 5,400 ล้านบาท โดยหลักจากกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ให้บริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด (PE LNG) ของ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG)
และ กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของ บริษัท พีทีทีโกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) และ TOP
*** GPSC-TOP นำบริษัทลูกส่งกำไรพุ่ง หลังรับอานิสงส์อัตราแลกเปลี่ยน-รับรู้กำไรบริษัทร่วม
จากการประกาศงบไตรมาส 2/68 พบว่า มี 2 บริษัทที่ทำกำไรเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบด้วย บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากอัตราแลกเปลี่ยน (กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้น) ทั้งจากการลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า ในโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง Changfang และ Xidao (CFXD) ไต้หวัน ในขณะเดียวกัน ยังรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินกู้ เนื่องจากเงินสกุลดอลลาร์ไต้หวันมีการแข็งค่า รวมทั้งผลประกอบการของโครงการไซยะบุรี พาวเวอร์ (XPLC) ใน ส.ป.ป.ลาว ปรับตัวดีขึ้น ตามปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง บริษัทฯ ได้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารต้นทุนทางการเงิน ส่งผลให้มีต้นทุนทางการเงินลดลง
และ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP มีการรับรู้ส่วนแบ่งกําไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนในบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) (ซึ่งกลุ่มไทยออยล์ถือหุ้น 15%) โดยบริษัทย่อยของ CAP ได้รับรู้กําไรจากการต่อรองราคาจากการเข้าซื้อธุรกิจบริษัท Aster Chemical and Energy Pte. Ltd. ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งกลุ่มไทยออยล์รับรู้กําไรจากการต่อรองราคาการเข้าซื้อธุรกิจดังกล่าวตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 7,062 ล้านบาท เมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และ ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว
*** PTTEP-OR กำไรปรับตัวลง หลังปริมาณการขายลด - ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
ในขณะที่ บริษัทฯ ที่ยังมีกำไร แต่ปรับตัวลดลง เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบด้วย บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP พบกำไรลดลง สาเหตุหลักจากราคาขายที่ลดลงตามราคาตลาด ประกอบกับ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จากโครงการจี 1/61โครงการจี 2/61 และ โครงการมาเลเซีย แปลงเค มีค่าใช้จ่ายจากกิจกรรมซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้น และ ค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จากโครงการจี 2/61 ที่มีสินทรัพย์พร้อมใช้งานเพิ่มขึ้น
และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กำไรปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยมาจากราคาจำหน่ายเฉลี่ยต่อลิตรที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ประกอบกับ ปริมาณจำหน่ายที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล ประกอบกับ ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (Share of gain from investments) ภาพรวมปรับตัวลดลงจากผลประกอบการของ บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด เป็นหลัก ในไตรมาสนี้อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้เกิดผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
*** 3 บริษัทลูกมีผลขาดทุน หลังราคาขาย - ปริมาณการขายลด
ด้วยสภาวะความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า มาตรการภาษี ล้วนส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาส 2/68 มีผลขาดทุน ซึ่ง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวมใกล้เคียงกับไตรมาส 1/68 โดยปรับขึ้นจากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมตามทิศทางตลาดโลก หักกลบด้วยราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ยังคงมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก ทั้งความกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ประกอบกับ บริษัทฯ ยังรับรู้รายการพิเศษจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้จากการเปลี่ยนแปลงราคาตามสภาวะตลาด
เช่น ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และ การปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV) สุทธิเป็นขาดทุน 1,891 ล้านบาท ขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 32 ล้านบาท กำไรสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยน และ ตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวม 370 ล้านบาท รวมถึงบริษัทฯ รับรู้กำไรพิเศษจากผลต่างสุทธิจากการสิ้นสุดการเป็นบริษัทย่อย (Deconsolidation) ของ Vencorex France และ Vencorex TDI 1,499 ล้านบาท ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุน 17 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ส่งผลให้ในไตรมาส 2/68 บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 3,616 ล้านบาท
ในขณะที่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC มีผลขาดทุนเพิ่มขึ้น หลังราคาขายเฉลี่ยลดลงตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง โดยมีปัจจัยหลักที่กดดันจากมาตรการทางภาษีประเทศสหรัฐฯ และ การปรับเพิ่มปริมาณการผลิตโดยสมัครใจของโอเปกและพันธมิตร ส่งผลให้ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน 1,877 ล้านบาท หรือ 1.52 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้ บริษัทฯ บันทึก Net Inventory Loss ที่ 2,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีจำนวน 1,404 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขึ้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท ลดลง 1,669 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อน
บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC มีรายได้จากการขายรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยในไตรมาสนี้ บริษัทฯ มีการรับรู้ Stock Loss & NRV จำนวน 35 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ มี EBITDA จำนวน 121 ล้านบาท สำหรับผลการดำเนินงานกับบริษัทร่วมทุน ทำให้บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุน จำนวน 134 ล้านบาท โดยหลักจากผลขาดทุนจากธุรกิจเอทานอลที่อยู่ในช่วงเริ่มการผลิตในปีนี้ ทำให้ผลประกอบการประจำไตรมาส 2/68 รับรู้ผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 168 ล้านบาท ในส่วนของผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2568 เปรียบเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุน จำนวน 336 ล้านบาท โดยหลักเป็นผลขาดทุนจากธุรกิจเอทานอล ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 374 ล้านบาท