ผลสำรวจชี้ผู้บริโภคยุคใหม่ ซื้อรถไม่ยึดติดแบรนด์ วัยรุ่นนิยมเรียกรถ-ใช้บริการการเดินทาง
ตำราที่เคยใช้ในการวางแผนระยะสั้น กลาง ยาว วนลูปของวัฏจักรยานยนต์ อาจจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป
ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยรายงาน 2568 Global Automotive Consumer Study: Southeast Asia Perspectives ปี 2568 ฉบับล่าสุด มีประเด็นที่น่าสนใจว่า ความจงรักภักดีในแบรนด์รถยนต์ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถยนต์อีกต่อไป โดยผู้บริโภคในอาเซียนให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ สมรรถนะ และราคา เป็นหลัก
ในขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ ต้องการครอบครองรถยนต์ลดลง และมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้บริการเดินทางรวมแบบครบวงจร หรือ Mobility-as-a-Service (MaaS) มากขึ้น และนิยมใช้บริการรถยนต์แบบบอกรับสมาชิก (Subscription)
รายงานฉบับนี้ เป็นการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคกว่า 6,029 คนใน 6 ประเทศของอาเซียน รวมถึงผู้บริโภคกว่า 1,000 คนในประเทศไทย
ผลสำรวจพบว่า ความภักดีต่อแบรนด์กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทย 43% ระบุว่าใช้รถยนต์แบรนด์เดียวกับคันก่อนหน้านี้ แต่เมื่อถูกถามถึงรถยนต์ที่จะซื้อคันถัดไป ชาวไทย 67% เปิดใจพร้อมเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่น ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มในภูมิภาคที่ผู้บริโภค 70% พร้อมเปิดรับทางเลือกใหม่ๆ มากขึ้น
ปัจจัยที่ได้รับความสำคัญสูงสุด 3 อันดับแรกเป็นเรื่อง คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ สมรรถนะของรถยนต์ และราคา ส่วนปัจจัยด้านภาพลักษณ์ของแบรนด์และความคุ้นเคยนั้น อยู่อันดับที่ 5 และ 6 ในการตัดสินใจเลือกซื้อ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคในปัจจุบันตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์จากคุณค่าที่จับต้องได้มากกว่าการพิจารณาเรื่องแบรนด์
อย่างไรก็ตาม แม้ผลสำรวจจะระบุว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีในแบรนด์ลดลง แต่คนไทย ยังชื่นชอบคุณภาพรถยนต์ที่ประกอบในประเทศ ซึ่ง 71% มองว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อ
นายซองจิน ลี ผู้บริหารของดีลอยท์ เซาท์อีสท์เอเชีย กลุ่มยานยนต์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่มีระบบนิเวศซับซ้อนและหยั่งรากลึก เมื่อเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จะเกิดผลกระทบขนาดใหญ่และระยะยาว ดังนั้นจึงต้องคำนึงถึงมุมมอง ความต้องการ และความพร้อมของผู้บริโภคเป็นพื้นฐานสำคัญ
“พฤติกรรมของผู้บริโภคการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยผู้ซื้อเริ่มมองรถยนต์ไม่ใช่เป็นเพียงสินทรัพย์การลงทุนระยะยาว แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน และสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แนวโน้มนี้บ่งชี้ว่ารถยนต์อาจเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคลื่อนไหวเร็ว หรือ FMCG ที่ถูกจับจ่ายใช้สอยและหมุนเวียนรวดเร็วมากยิ่งขึ้นในอนาคต” นายซอง กล่าว
สำหรับสถานการณ์ตลาดรถยนต์ครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.68) ปิดยอดขาย 302,694 คัน ลดลง 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่น และอเมริกา อย่าง ฟอร์ด เทสลา ยอดร่วงทุกค่าย สวนทางกับบรรดาแบรนด์จีนที่มีตัวเลขเป็นบวก ทั้ง บีวายดี (รวม เดนซ่า) ทำได้ 23,615 คัน เติบโต 60.3%
ขณะที่ เอ็มจี 11,369 คัน เพิ่มขึ้น 27.8% เกรท วอลล์ มอเตอร์ 7,141 คัน เพิ่มขึ้น 76% จีเอซี 6,344 คัน เพิ่มขึ้น 120.7% และฉางอาน 5,254 คัน เพิ่มขึ้น 66.1%
ทั้งนี้ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่าช่วง 6 เดือนแรกของปี ตลาด xEV มียอดขาย 132,493 คัน คิดเป็นสัดส่วน 43.8% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโต 21.8% ในจำนวนนี้เป็นของรถไฮบริด HEV 67,202 คัน เทียบเท่ากับปีที่แล้ว ส่วนรถพลังงานไฟฟ้า BEV อยู่ที่ 56,529 คัน เพิ่มขึ้น 54.5%