McDonald’s ทำอย่างไร ? ถึงหาเงินจากอสังหาฯ มากกว่าขายเบอร์เกอร์
หลายคนคิดว่า McDonald's รวยเพราะขายเบอร์เกอร์เก่ง แต่ความจริงแล้ว ร้านแฟรนไชส์ที่มีสาขามากเป็นอันดับต้นของโลกแห่งนี้ ไม่ได้ทำรายได้หลักจากการขายอาหาร หากแต่กลับสร้างกำไรมหาศาลจาก "อสังหาริมทรัพย์" รายการ Digital Fromtiers ทางช่อง YouTube : Thairath Money ได้อธิบายโมเดลธุรกิจแบบนี้ฉลาดและเฉียบขาดจนทำให้ใครตามทันได้ยาก แล้ว McDonald's ทำได้อย่างไร
จุดเริ่มต้นจากร้านเบอร์เกอร์เล็กๆ
เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1940 เมื่อพี่น้องตระกูล McDonald คือ ริชาร์ด และ แมค เปิดร้านเบอร์เกอร์เล็กๆ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย พวกเขาพัฒนาระบบที่เรียกว่า "Speedee Service System" ซึ่งเน้นความเร็วในการเสิร์ฟให้ลูกค้าได้อาหารภายในไม่กี่นาที กลายเป็นต้นแบบของระบบ "ฟาสต์ฟู้ด" ที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน
แต่จุดเปลี่ยนที่แท้จริงเกิดขึ้นในปี 1954 เมื่อ Ray Kroc เซลส์ขายเครื่องปั่นมิลค์เชค ขับรถไปยังร้าน McDonald's เพราะสงสัยว่าทำไมร้านเล็กๆ แห่งนี้ถึงสั่งเครื่องปั่นถึง 8 เครื่องในครั้งเดียว
หลังจากที่เขาได้เข้าไปดูระบบการทำงานแล้ว Kroc ตะลึงกับทั้งความเร็วและประสิทธิภาพ ลูกค้าเข้าคิวสั่งและได้อาหารภายในไม่กี่นาที เขาเห็นทันทีว่านี่ไม่ใช่แค่ร้านอาหารธรรมดา แต่มีศักยภาพที่จะขยายแฟรนไชส์ไปทั่วอเมริกา
ในปี 1955 Kroc เปิดร้าน McDonald's แฟรนไชส์แห่งแรกที่รัฐอิลลินอยส์ และในปี 1961 เขาซื้อสิทธิ์ทั้งหมดจากพี่น้อง McDonald ในราคา 2.7 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 90 ล้านบาท)
แต่นี่ไม่ใช่แค่การซื้อขายธุรกิจธรรมดา เพราะ Kroc ได้รับคำแนะนำจาก Harry J. Sonneborn อดีต CFO ของ McDonald's ที่บอกเขาว่า:
"จริงๆ เราไม่ได้อยู่ในธุรกิจอาหาร แต่เราอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเหตุผลเดียวที่เราขายแฮมเบอร์เกอร์ราคา 15 เซนต์ก็เพราะว่ามันเป็นแหล่งรายได้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งผู้เช่าของเราสามารถนำมาจ่ายค่าเช่าให้เราได้"
คำพูดนี้เปลี่ยนทุกอย่าง ในปี 1956 Kroc และ Sonneborn ก่อตั้ง McDonald's Franchise Realty Corporation บริษัทที่มีหน้าที่ซื้อที่ดินแล้วให้แฟรนไชส์เช่าต่อ โมเดลนี้ช่วยให้ McDonald's ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว จาก 228 แห่งในปี 1960 เป็น 1,500 แห่งทั่วโลกในปี 1970
3 กลยุทธ์เฉียบขาดที่ทำให้ McDonald's ไม่เหมือนใคร
1. โมเดลธุรกิจที่โลกไม่เคยเห็น
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดของ McDonald's คือ พวกเขาไม่ได้ขายแฟรนไชส์แบบปกติ แต่ขาย "ระบบธุรกิจ" ที่มาพร้อมกับที่ดินและอาคาร
ในขณะที่แฟรนไชส์อื่นๆ ปล่อยให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์หาที่ดินเอง McDonald's กลับทำตรงข้าม พวกเขาจะเป็นคนเลือกทำเล ซื้อหรือเช่าที่ดินเอง แล้วก่อสร้างร้านให้พร้อม จากนั้นจึงให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์เช่าต่อ
กลยุทธ์นี้ให้ผลประโยชน์ 3 ด้าน:
ควบคุมมาตรฐาน: McDonald's สามารถควบคุมดีไซน์ ทำเล และมาตรฐานร้านได้ตั้งแต่ต้น ทำให้ทุกสาขาดูเหมือนกันและมีมาตรฐานเดียวกัน
รายได้คงที่: แทนที่จะได้แค่ค่าโรยัลตี้จากยอดขาย McDonald's ยังได้ค่าเช่าที่ดินและอาคารทุกเดือนในสัญญา 20 ปี ซึ่งเป็นรายได้ที่มั่นคงไม่ว่าร้านจะขายดีหรือไม่ก็ตาม
สินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่า: อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์จะถูกประเมินจากรายได้ค่าเช่า เมื่อมีผู้เช่าจ่ายค่าเช่าสูง มูลค่าอาคารก็เพิ่มขึ้นไปด้วย
ปัจจุบัน McDonald's เป็นเจ้าของที่ดินและอาคารกว่า 40,000 แห่งทั่วโลก มูลค่าอสังหาริมทรัพย์รวม 42 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) ถือเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นของโลก
ที่สำคัญคือ ในปี 2024 McDonald's ได้รายได้จากค่าเช่า 7.3 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 64% ของรายได้จากแฟรนไชส์ หมายความว่า McDonald's ทำเงินจากค่าเช่าที่ดินมากกว่าการขายอาหารเสียอีก
2. วิทยาศาสตร์แห่งการเลือกทำเล
การเลือกทำเลของ McDonald's ไม่ได้เกิดจากดวงหรือการเดา แต่ใช้วิทยาศาสตร์ของข้อมูลมานานกว่า 60 ปี
ยุคแรก: กฎทองของ Ray Kroc
Kroc มีหลักง่ายๆ แต่ได้ผลดี คือ เลือกสี่แยกใหญ่ที่มีไฟแดง เพื่อให้รถที่ติดไฟแดงเห็นโลโก้ McDonald's ชัดเจน ส่วนใหญ่เน้นพื้นที่ใหญ่ประมาณ 50,000 ตารางฟุต ใช้ก่อสร้างแค่ 4,500 ตารางฟุต ที่เหลือเป็นลานจอดรถ มักเลือกใกล้โรงเรียน โบสถ์ หรือย่านครอบครัว ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
ยุคปัจจุบัน: Big Data และ AI
McDonald's ปรับตัวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี โดยใช้:
GIS (Geographic Information System): วิเคราะห์ข้อมูลประชากร การจราจร ความหนาแน่นของคน เพื่อหาทำเลที่แม่นยำที่สุด
ฐานข้อมูลลูกค้าแบบ 360 องศา: รวบรวมข้อมูลจากยอดขายในร้าน พฤติกรรมในแอป พิกัด GPS ไปจนถึงสภาพอากาศ
Machine Learning Model: ใช้ AI คาดการณ์ความต้องการล่วงหน้า วิเคราะห์ว่าร้านใหม่ตรงจุดนั้นจะมีศักยภาพเติบโตแค่ไหนและคืนทุนเร็วแค่ไหน
เป้าหมายคือการขยายจาก 40,000 เป็น 50,000 สาขาทั่วโลกภายในปี 2027 ซึ่งจะเป็นการเติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท
3. ระบบแฟรนไชส์ "สร้างเงิน 3 ทาง"
McDonald's ใช้โมเดลธุรกิจ "Asset-Light" หมายความว่าพวกเขาลงทุนในสินทรัพย์หลัก (ที่ดินและอาคาร) แต่ปล่อยให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์เป็นคนลงทุนในการดำเนินงาน
รายได้ 3 ช่องทางหลัก:
ค่าเช่าที่ดิน: รายได้คงที่ทุกเดือนจากสัญญาเช่าระยะยาว
ค่าโรยัลตี้: คิดจากยอดขายรวมของร้านในแต่ละเดือน
ค่าบริการอื่นๆ: ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น ค่าโฆษณา ฝึกอบรม เทคโนโลยี
McDonald's มีมาตรฐานเข้มงวด ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องลงทุน 1-2 ล้านดอลลาร์ พร้อมเงินสดส่วนแรก 40% สำหรับร้านใหม่ ต้องซื้อวัตถุดิบจากผู้จำหน่ายที่ McDonald's กำหนดเท่านั้น และต้องเข้าเรียนที่ "Hamburger University" เพื่อเรียนรู้มาตรฐานของแบรนด์
ผลลัพธ์คือ McDonald's ได้รายได้ 82% จากแฟรนไชส์ แต่ได้แค่ 18% จากร้านที่บริหารเอง เพราะร้านตัวเองมีต้นทุนการดำเนินงานสูง
เทคโนโลยีที่ทำให้แตกต่าง
นอกจากโมเดลอสังหาริมทรัพย์แล้ว สิ่งที่ทำให้ McDonald's แตกต่างคือการเป็น "Data Driven Company" ของแท้ และนำเทคโนโลยีมาปรับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตู้สั่งอาหาร: เมื่อไม่มีพนักงานหรือลูกค้าคนอื่นกดดัน เราจึงสั่งได้อย่างสบายใจ ประกอบกับระบบที่เสนอแนะรายการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์คือคนใช้จ่ายจากการออเดอร์ผ่านตู้สูงกว่าสั่งกับพนักงาน 20-30%
การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์: McDonald's ร่วมมือกับ Google Cloud ติดตั้งเซ็นเซอร์บนอุปกรณ์ครัว ส่งข้อมูลไปยังระบบประมวลผลแบบ Edge เพื่อบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ และแก้ไขปัญหาเครื่องทำ McFlurry เสียที่เป็นปัญหาใหญ่ของลูกค้า
McDonald's ได้แสดงให้เห็นว่าการผสานระหว่างอสังหาริมทรัพย์ ข้อมูล และเทคโนโลยีสามารถสร้างธุรกิจที่ "กันภัยวิกฤต" ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 หรือแม้กระทั่ง COVID-19 McDonald's ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ครั้งหน้าเมื่อคุณเดินผ่านร้าน McDonald's จำไว้ว่าคุณไม่ได้มองแค่ร้านเบอร์เกอร์ธรรมดา แต่คุณกำลังมองเห็นผลงานชิ้นเอกของการบริหารอสังหาริมทรัพย์ในคราบร้านอาหาร
สิ่งที่เราเรียนรู้จาก McDonald's คือ บางครั้งการเปลี่ยนมุมมองเพียงเล็กน้อยสามารถเปลี่ยนธุรกิจธรรมดาให้กลายเป็นอาณาจักรได้ และนี่คือเหตุผลที่ McDonald's ไม่เพียงแค่รอด แต่ยังเติบโตแข็งแกร่งในทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : McDonald’s ทำอย่างไร ? ถึงหาเงินจากอสังหาฯ มากกว่าขายเบอร์เกอร์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- มัลแวร์ใหม่ SparkCat แฝงบนแอปใน App Store-Google Play ใช้ AI สแกนรูปในมือถือ ล่าข้อมูลและรหัสผ่าน
- รู้จัก SAP ยักษ์เทคโนโลยีเยอรมนี ที่ขึ้นแท่นบริษัทใหญ่สุดในยุโรป แซงหน้าผู้ผลิตยาและล้มบิ๊กแฟชั่น
- SYNNEX ยักษ์ใหญ่ไอทีไทย จับมือ AWS ขยายบริการคลาวด์ รุกตลาดต่างจังหวัด ช่วยธุรกิจท้องถิ่น
- AWS ในไทยวางฐาน Cloud-AI-Data หนุนธุรกิจไทยทรานส์ฟอร์มเต็มรูปแบบ
- Alibaba Cloud เปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่ 2 ในไทย รับดีมานด์คลาวด์คอมพิวติ้งพุ่ง
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath