ศาลยกฟ้อง อดีต ผอ.ศูนย์ Thai PBS ถูกปลด พบคุกคามทางเพศจริง
ศาลปกครอง มีคำพิพากษายกฟ้อง อดีต ผอ.ศูนย์ ของไทยพีบีเอส กรณีถูกปลดไม่เป็นธรรม ชี้ผู้ฟ้องมีพฤติการณ์คุกคามทางเพศจริง เข้าข่ายการกระทำผิดตามระเบียบองค์กร ถือเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยชอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ บ.345/2565 หมายเลขแดงที่ บ.258/2568 ระหว่าง นาย ส. (ผู้ฟ้องคดี) กับ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ผู้ถูกฟ้องคดี) คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า เดิมผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงาน ตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์
โดยผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส) มีคำสั่งปลดผู้ฟ้องคดีออกจากงานในข้อกล่าวหาว่า ผู้ฟ้องคดีกระทำการคุกคามทางเพศต่อนางสาว อ. ที่มาสมัครงาน เป็นเลขานุการของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดี จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนคดี เห็นได้ว่า การที่ผู้ฟ้องคดี กอดนางสาว อ. ดึงมือนางสาว อ. ให้ไปนั่งบนเตียงนอนในห้องพักของผู้ฟ้องคดีที่โรงแรมซึ่งมีการจัดสัมมนา มีการแตะเนื้อต้องตัวของนางสาว อ. หลายจุด รวมทั้งผู้ฟ้องคดีได้เอาศีรษะของตนนอนหนุนหมอนที่นำไปวางบนตักของนางสาว อ. โดยการกระทำดังกล่าวไม่ได้รับความยินยอมจากนางสาว อ. จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกระทำการด้วยการสัมผัสทางกายที่มีลักษณะส่อไปในทางเพศต่อนางสาว อ.
นอกจากนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีส่งข้อความติดต่อกับนางสาว อ. ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ (Line) จำนวนหลายข้อความ ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อความที่เป็นการลวนลาม เกี้ยวพาราสี และมุ่งหวังสร้างสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวกับนางสาว อ. โดยที่นางสาว อ. มิได้ยินดีกับการส่งข้อความในลักษณะดังกล่าวจากผู้ฟ้องคดี จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีสื่อสารด้วยข้อความผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ที่ส่อไปในทางเพศต่อนางสาว อ.
จากพฤติการณ์ดังกล่าวของผู้ฟ้องคดี จึงเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้อาศัยโอกาสที่ตนดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ กระทำการอันมีลักษณะเป็นการบังคับขืนใจนางสาว อ. ซึ่งเป็นผู้ประสงค์จะสมัครงานในตำแหน่งเลขานุการของผู้ฟ้องคดี เพื่อให้สนองตอบต่อความต้องการหรือความพึงพอใจทางเพศของผู้ฟ้องคดี โดยมิได้คำนึงถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนางสาว อ. ที่พึงได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงเข้าลักษณะเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนเป็นเครื่องมือในการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศต่อนางสาว อ. อันเป็นการกระทำที่เสื่อมเสียต่อเกียรติของการเป็นผู้บริหารด้านงานสื่อสารมวลชนของผู้ฟ้องคดี และขัดต่อจริยธรรมของผู้บริหารตามข้อบังคับองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยจริยธรรมของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน พ.ศ. 2551 อันเป็นเรื่องที่อารยประเทศไม่อาจยอมรับได้
ดังเช่นที่มีการต่อต้านพฤติกรรมของผู้บริหารองค์กรที่ใช้โอกาสจากตำแหน่งหน้าที่กระทำการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศต่อผู้ร่วมงานจนเกิดกระแส #MeToo (ฉันก็โดนด้วย) ขึ้นทั่วโลกในหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่กระทำการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศต่อนางสาว อ. ยังเป็นเหตุให้องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐด้านการสื่อสารมวลชนที่มีหน้าที่ต้องสนับสนุนมิให้พนักงานในสังกัดมีการกระทำที่เป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่สังคมกลับต้องได้รับความเสียหายต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงอย่างร้ายแรง
พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และขาดจริยธรรมของผู้บริหารอันชอบที่จะได้รับโทษให้ปลดออกจากงานได้ตามระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2563 และสัญญาจ้าง
ดังนั้น การที่องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย มีคำสั่งปลดผู้ฟ้องคดีออกจากงาน อันเป็นการบอกเลิกสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงาน จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยชอบด้วยข้อสัญญาและกฎหมาย
ศาลปกครองกลางจึงมีคำพิพากษายกฟ้อง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ศาลยกฟ้อง อดีต ผอ.ศูนย์ Thai PBS ถูกปลด พบคุกคามทางเพศจริง
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net