ปิดสวิตช์ ‘รัฐบาลชิน’
ภารกิจ “รวมพลังแผ่นดิน” เป็นข่าวโลกไปแล้ว!
วันนี้ เราก็มาประมวล “ความต้องการ” ของมวลชนทุกสีเรือนแสนที่มารวมกันเป็นหนึ่งที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เมื่อ ๒๘ มิถุนา.๖๘ ดูว่ามีอะไรบ้าง?
ที่เห็นชัดเจน คือ
๑.ต้องการให้นายกฯ แพทองธารลาออกไป เพราะเธอเป็นแค่ สิ่งปฏิกูลทางการเมืองจากตระกูลชิน ที่กัดกินชาติ
๒.ต้องการ “รีเซต” ประเทศใหม่ ไม่เอาแล้ว “ประชาธิปไตยแจกกล้วย” และไม่เอาแล้ว “รัฐประหาร” แบบปัสสาวะไม่สุด
“รีเซต” ที่ว่านั้น เป็นแบบไหน เดี๋ยวค่อยลงรายละเอียด!
ทีนี้ มาดูฝ่ายที่ต่อต้านการ “รวมพลังแผ่นดิน” และโจมตีประชาชนเรือนแสนที่ออกมารวมพลังว่า “เป็นการเปิดทางให้กองทัพออกมาทำรัฐประหาร” ดูบ้าง
ก็มี ๒ พรรคแนวร่วม คือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน
แต่มีความต้องการไปคนละแบบ
พรรคเพื่อไทย สีแดง ซึ่งเป็นพรรคแกนรัฐบาล ประกาศไม่ยุบสภา ไม่ลาออก
ส่วนพรรคประชาชน สีส้มแนวร่วมสีแดง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ต้องการให้ “ยุบสภา” เลือกตั้งใหม่ เพราะเขามั่นใจ ได้เป็นรัฐบาลแน่
พรรคพลังประชารัฐ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ บอกว่า “นายกฯ อุ๊งอิ๊งควรลาออก แต่ถ้ายุบสภาก็ยินดี”
ทีนี้ มาดูกระแสโลกบ้าง ว่าเขามีความเห็นกันอย่างไร?
The New York Times: แพทองธารเป็นตัวแทนตระกูลชินวัตร มากกว่าจะเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และคุณสมบัติของตนเอง
การได้เป็นนายกฯ ของเธอ…..
สะท้อนถึงการแทรกแซงของระบบอุปถัมภ์และเป็นการบั่นทอนประชาธิปไตยไทย”
The Guardian: ที่เธอได้เป็นนายกฯ เพราะสกุลชินวัตร การเมืองไทยภายใต้การนำของเธอเป็นเรื่องเหลวไหล น่าหัวเราะ เธอไม่มีประสบการณ์เลย อาศัยแต่อิทธิพลพ่อ
Council on Foreign Relations (CFR) ซึ่งเป็นองค์กรหัวขบวนขับเคลื่อน New World Order ก็ยังวิจารณ์ว่า
แพทองธารเป็นแค่ “หุ่นเชิด” ของพ่อหรือกลุ่มอำนาจอื่น ซึ่งทำให้การเมืองไทยดูย้อนยุคไปสู่ “ระบบครอบครัว”
AP News และ The Business Times รายงานตรงกัน กรณีดังกล่าว ทำให้ “พรรคร่วมรัฐบาล” ถอนตัว ภาคประชาชนเรียกร้องให้ลาออก
ความน่าเชื่อถือในรัฐบาลแพทองธารตกต่ำและไม่ได้รับการตอบสนองจากสังคมโลก
ฟังข่าวนอกมองนายกฯ ไทยไปแล้ว มาฟังจากคนภายในดูบ้าง ว่าเขามองปรากฏการณ์ “รวมพลังแผ่นดิน” แบบไหน?
“นายเสรี สุวรรณภานนท์” อดีต สว. โพสต์ว่า…..
นายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์ท่าจะไม่รอด
อย่างไรก็คงต้องลาออก หรือไม่ก็ยุบสภา
แค่เริ่มต้นก็มีมวลมหาประชาชนมาขับไล่มากมายขนาดนี้
แล้วยังมีคดีความอยู่ที่ศาลอีกหลายคดี
ที่ทำให้หลุดจากตำแหน่งได้ทุกเมื่อ
ความไม่มีความรู้และไม่มีประสบการณ์ในงานการเมือง และในงานต่างประเทศ รวมถึงการไม่มีความสามารถในการบริหารบ้านเมือง
เศรษฐกิจล้มเหลว ประชาชนทุกข์ยาก ล้วนเป็นเหตุให้นายกฯ ต้องออกจากตำแหน่งทั้งสิ้น
และดูแล้วการตั้งรัฐบาลเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีต่อๆ ไปก็ไม่อาจอยู่ต่อไปได้ง่ายๆ เพราะแต่ละพรรคและนักการเมืองแต่ละคนล้วนมีปัญหาติดตัวทั้งสิ้น
อีกทั้ง เสถียรภาพของรัฐบาลที่มีเสียงปริ่มน้ำ อย่างไรรัฐบาลก็อยู่ไม่ได้
ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นห้อมล้อมตัวนายกรัฐมนตรีอยู่ขณะนี้ ไม่มีเหตุอื่นที่จะทำให้นายกฯ และรัฐบาลจะอยู่ได้อีกต่อไป
ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว นายกฯ ลาออกเหอะ จะเป็นผลดีต่อชาติบ้านเมืองและประชาชนต่อไป
“นายสมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กกต. โพสต์ค่อนข้างยาว ประเด็นหลัก มีว่า
“พวกเขา (ผู้ออกมารวมพลังแผ่นดิน-เปลว) เห็นความสำคัญของเส้นพรมแดน เห็นพ้องในคำว่าอริราชศัตรู
หากมีชาติใดก็ตามที่รุกล้ำเข้ามาในประเทศ และพร้อมสนับสนุนกองทัพในการผลักดันออกไป โดยไม่ยอมเสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว
ในขณะที่คนรุ่นใหม่ อาจมีทัศนคติอีกแบบว่า เราจะเสียเลือดเนื้อเพื่อรักษาพรมแดนที่ไม่มีจริง รักษาก้อนหินโบราณที่เรียกว่าปราสาทไปทำไมกัน
นี่คือคำอธิบายว่า ทำไม คนวัย ๗๐ ขึ้น เช่น สนธิ แก้วสรร สมชาย และคนอื่นๆ ต้องออกมา
ในขณะที่พรรคสีส้มที่เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่กลับเงียบกริบ
และเที่ยวจับจ้องว่าจะเป็นการเรียกทหารมาจัดการวิกฤตการเมือง
คนชุมนุมมามากเกินคาดและทรหด แม้ฝนจะกระหน่ำอย่างหนักแต่พวกเขาก็ยืนหยัดและร่วมชุมนุมแบบไม่ถอย
……….ถามจุดติดไหม คำตอบตรงไปตรงมาคือ ไม่ใช่แสงเทียน แต่คือเปลวไฟ ที่โหมกระหน่ำรัฐนาวาของตระกูลชินวัตร
ทีนี้ย้อนกลับมาเรื่อง “รีเซต” ระบบประเทศกันต่อ เพราะเป็นโจทย์ใหม่ ที่แกนนำ “รวมพลังแผ่นดิน” จุดประกายขึ้น ท่ามกลางประชาชนนับแสนเมื่อวานซืน
“ทนายนกเขา” หรือ “นิติธร ล้ำเหลือ” ตั้งโจทย์ประเทศขึ้นบนเวทีปราศรัย ว่า………
“ประเทศนี้โกงเห็นๆ ขายชาติเห็นๆ จะรอให้ฉิบหายไปถึงไหน… วันนี้ ประเทศไทย ถ้าไม่แก้ปัญหาที่ต้นตอ
ไม่ว่าจะเจอรัฐบาลแบบไหน มีรัฐประหารแบบใด ออกนโยบายอย่างไร ได้แค่บรรเทาอาการ
รักษาโรคและฟื้นฟูไม่ได้ เชื้อชั่ว ดีเอ็นเอชั่วกระจายไปทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่แค่ตระกูลนี้ แต่กระจายไปทั่วหน่วยงานรัฐ ต้องชำระประเทศ!”
ชำระแบบไหน ด้วยวิธีการอย่างใด ที่มิใช่การรัฐประหาร “รศ.เจษฎ์ โทณะวณิก” ปราศรัยขยายความว่า
หากสถานการณ์การเมืองไปถึงทางตัน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่
-พรรคร่วมรัฐบาลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้
-ป.ป.ช.ชี้มูลการใช้งบผิด มาตรา ๑๔๔ ส่งผลให้ ครม., สภา และวุฒิสภา ถูกกวาดออกจากกระดานอำนาจทั้งหมด
สิ่งที่จะตามมาไม่ใช่รัฐประหาร
แต่คือ การเปิดทางให้ กกต.จัดการเลือกตั้งใหม่ โดยใช้ “ประเพณีการปกครอง” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๕
“ผมไม่ได้เรียกร้องปฏิวัติรัฐประหาร ผมไม่ได้เรียกร้องให้มีนายกฯ ในลักษณะอื่น…
ถ้าสภาล่มหมดแล้ว เหลือแต่ประชาชน ก็ต้องกลับไปตั้งต้นใหม่ ผ่านการเลือกตั้ง… นี่คือประเพณีการปกครองที่อยู่กับเรามาตั้งแต่ ๒๔๗๕”
แม้รัฐธรรมนูญจะไม่มีบทบัญญัติรองรับกรณีสุญญากาศทางอำนาจแบบนี้โดยตรง
แต่ มาตรา ๕ วรรคสอง…..
ได้วางช่องทางให้ “วินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ซึ่งไม่ใช่การปฏิวัติ
แต่โดยคืนอำนาจให้ประชาชน ผ่านการเลือกตั้ง ภายใต้อำนาจอธิปไตยของประชาชน
ที่ “พระมหากษัตริย์” ทรงใช้อำนาจผ่านรัฐบาล รัฐสภา และศาลฯ
ไม่ใช่การประเคนอำนาจให้ตัวแทนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ โฉดเขลาเบาปัญญา ที่ต้องกลับมาตั้งต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฟังดูก็อาจยัง “จับจุด” กันไม่ได้ ว่าที่อาจารย์เจษฎ์พูดนี้ มันมีนามธรรมเป็นแบบไหน?
มันเป็นแบบนี้ คือ ที่อาจารย์เจษฎ์ยกรัฐธรรมนูญ มาตรา ๕ ขึ้นมานั่นแหละ เป็น “ทางแก้” ประเด็นที่ทนายนกเขายกเป็นโจทย์ประเทศ
ว่า “ประเทศนี้โกงเห็นๆ ขายชาติเห็นๆ จะรอให้ฉิบหายไปถึงไหน…วันนี้ ประเทศไทย ถ้าไม่แก้ปัญหาที่ต้นตอ….”
หมายถึงว่า ประชาธิปไตยเลือกตั้งทุกวันนี้ มันกลายเป็น DNA ชั่ว กระจายไปทั้งแผ่นดิน
โกงชาติ ขายชาติ ไม่ใช่แค่ตระกูลนี้ แต่มันกระจายไปทั่วหน่วยงานรัฐ ดังนั้น ต้อง “ชำระประเทศ”
รัฐธรรมนูญ มาตรา ๕ นี่แหละ ที่อาจารย์เจษฎ์ชี้ว่า นำมา “ชำระประเทศ” ได้
งั้น มาดูกันซิว่า รัฐธรรมนูญมาตรา ๕ มีความว่าอย่างไร?
…………………………..
“มาตรา ๕ วรรคแรก มีความว่า
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้น เป็นอันใช้บังคับมิได้
วรรคสอง ตามที่อาจารย์เจษฎ์เสนอให้ใช้ “ชำระหรือรีเซต” ประเทศ มีความว่า
เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
…………………………..
พูดกันชัดๆ ก็คือ หากการเมืองถึงทางตัน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่
-พรรคร่วมรัฐบาลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้
-ป.ป.ช.ชี้มูลการใช้งบผิด มาตรา ๑๔๔ จะส่งผลให้ คณะรัฐมนตรี, สภาผู้แทน และวุฒิสภา สิ้นสุดสมาชิกภาพในทันที
เรียกว่าประเทศไม่มีทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเหลืออยู่ในเวลาเดียวกัน และไม่มีมาตราใดในรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เป็นทางปฏิบัติในกรณีนี้
เมื่อเกิดสุญญากาศทางการเมืองเช่นนี้ขึ้น แล้วจะหาทางออกอย่างไร ประเทศจะขาดรัฐบาลบริหารไม่ได้ ทั้งไม่มีมาตราไหนบอกให้ กกต.จัดเลือกตั้งใหม่ได้
ก็มี วรรคสอง รัฐธรรมนูญ มาตรา ๕ นี้ เป็นทั้งทางออก และทางรีเซตระบบประเทศ ให้ออกจาก “ประชาธิปไตย ระบบเลือกตั้งใต้เงาโจร”!
วรรคสองบอกว่า….”ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
นั่นคือ ถ้าเกิดกรณีนี้ขึ้น ……..
ตามประเพณีการปกครองของไทยก็ต้องถวายพระราชอำนาจคืนพระมหากษัตริย์ เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยสู่ทางแก้ไข
เพื่อให้ชาติบ้านเมืองเดินหน้าต่อไป ตามนัยของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นี่แหละ ที่ผมถอดรหัส มาตรา ๕ วรรคสอง เพื่อรีเซตระบบประเทศ ตามที่ทนายนกเขาตั้งโจทย์ และอาจารย์เจษฎ์แก้โจทย์
ก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเป๊ะๆ ….
“ส้มเท้ง” ไม่ต้องตาหู-ตาแหก โวยว่า “รวมพลังแผ่นดิน” เรียกกองทัพมาทำรัฐประหารหรอก
กลัวไม่มีเลือกตั้งแล้วจะอดได้เป็นนายกฯ ละซีท่า ถึงร้องให้ยุบสภาท่าเดียว
เป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน แต่เหมือน “หมาจุก”
ขนาดรัฐบาลจะแปลงประเทศเป็นบ่อน นายกฯ เป็นไส้ศึกให้เขมร พวกมึงไม่เห่า-ไม่ร้อง-ไม่ทำหน้าที่อะไรเลย เอาแต่หรี่ตารอผสมพันธุ์พรรคเพื่อไทย
พิธา ได้เป็นนายกฯ ว่าวไปคนแล้ว
ส้มเท้ง นี่ก็ได้เป็นแน่
แต่ “นายกสมาคมคนฝันเปียก” นะ!
-เปลว สีเงิน
๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๘
คนปลายซอย